วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2557

7 อันดับสุนัขดุ

7 . อัลเซเซี่ยน 
ถือเป็นสุนัขที่ได้ชื่อว่าดุพอสมควร มีเขี้ยวเล็บแหลมคม แข็งแรงว่องไว เห่าเสียงดัง ขู่ก็น่ากลัว แต่ด้วยความฉลาด 
เรียนรู้เร็ว เชื่อฟังคำสั่งทำให้ อัลเซเซี่ยนดูจะดีกว่าสุนัขพันธุ์อื่นอยู่มาก รวมทั้งข่าวคราวในเรื่องเสียหายก็ไม่ 
ค่อยมี ดังนั้น ในวงการบันเทิงบทของ อัลเซเซี่ยน จึงเป็นสุนัขฉลาดแสนรู้ ซื่อสัตย์ ขนาดเป็นพระเอกก็ยังมี แถม 
ยังมีฉากช่วยชีวิตคนอยู่บ่อยๆ (ในชีวิตจริงก็มีบ่อยๆ เหมือนกัน) 

 6 . โดเบอร์แมน 
เคยได้รับความนิยมช่วงหนึ่งในไทย ก่อนการมาถึงของ พิทบูลและร็อดไวเลอร์ นิยมเลี้ยงไว้เฝ้ายาม 
จึงมีนิสัยดุพอสมควร ในยุโรปเป็นสุนัขพันธุ์หนึ่งที่ใช้ล่าเนื้อเพราะความปราดเปรียวของมัน ด้วยรูป 
ร่างสูงเพรียว ตัวโตเต็มที่เหมือนกวางตัวย่อมๆ ส่วนเรื่องความเร็วจัดได้ว่าเป็นนักวิ่งตัวหนึ่ง 

5 . บางแก้ว 
พันธุ์ไทยกันบ้าง บางแก้ว จัดเป็นหมาไทยที่ได้ชื่อว่าดุที่สุดพันธุ์หนึ่ง และไม่น่าเชื่อว่าก่อนหน้านี้ 
เคยมีข่าวคนใช้ถูกบางแก้วกัดตายเหมือนกัน ทั้งนี้ก็ด้วยพิษสงของเขี้ยวเล็บที่แข็งแรง 

4 .  ร็อดไวเลอร์ 
ร็อดไวเลอร์ จองพื้นที่หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์บ้านเราอยู่เป็นระยะๆ ด้วยนิสัยดุ กัดแหลกของมันทำให้ล่าสุดถึงกับ 
มีการสร้างหนังชื่อ ร็อดไวเลอร์ โดยมีเนื้อหาเกี่ยวกับความร้ายกาจของสุนัขพันธุ์นี้ 

3 . ฟิล่า บราซิเลียโร่ 
สุนัขล่าเนื้อจากต่างประเทศเข้ามาเลี้ยงตามบ้าน เป็นสุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลก โดยมีสายพันธุ์ดั้งเดิมเป็นสุนัข 
พื้นเมืองของบราซิล ที่เลี้ยงในไร่ขนาดใหญ่เพื่อขับไล่เสือหรือหมี 

2 . สุนัขพันธุ์ทิเบตัน มาสทิสส์
เป็นสุนัขสายพันธุ์โบราณ มีชื่อเรียกในภาษาท้องถิ่นว่า Do-khyi ซึ่งแปลว่า สุนัขที่ต้องถูกผูกไว้ (tied dog) เนื่องจากอุปนิสัยที่หวงถิ่นฐาน และดุร้าย จึงต้องผูกไว้เพื่อความปลอดภัยของบุคคลภายนอก พวกมันเป็น 1 ในสายพันธุ์สุนัข ที่ ดุร้ายที่สุดในโลก สายพันธุ์หนึ่ง โดยชาวธิเบต กล่าวว่าพวกมัน ดุร้าย กล้าหาญ และแข็งแกร่งจนสามารถต่อสู้กับหมี หรือ เสือ ที่บุกเขามากินฝูงสัตว์ที่มันดูแลได้ทีเดียว 

1 อเมริกัน พิทบูล เทอเรียร์ 
เป็นสุนัขพันธุ์ที่ดุที่สุดในโลก ถึงขนาดที่ประเทศอังกฤษแบบไม่ให้มีการเลี้ยงกัน เนื่องจากมีข่าวจนเป็นคดีความ 
ฟ้องร้องกันไปหลายครั้งหลายครา สุนัขพันธุ์นี้ก็เคยมีข่าวว่ากัดคนตายมาแล้วมากมาย (แต่รักเจ้าของยิ่งชีพ)

 

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2557

10 อันดับผีสุดเฮี้ยน ที่น่ากลัวสุดในโลก!!!

อันดับ 10 ปรากฏการณ์แม่มดเบลล์ (The bell witch)สถานที่พบเจอ เมืองอดัมส์ มลรัฐเทนเนสซี อเมริกาในปี ค.ศ.1817 สถานที่แห่งนี้ขึ้นชื่อปรากฏการณ์หลอนที่มีชื่อที่สุดในอเมริกา ผู้คนทุกสารทิศพากันหลั่งไหลมาชม รวมไปถึงประธานาธิบดีด้วย ซึ่งก็ไม่เคยผิดหวังทุกคนได้เห็นกันทั่วหน้า ซึ่งว่ากันว่าเรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นจากหญิงชราชื่อ เคท แบทส์ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้านของครอบครัวเบลล์เธอเจ็บแค้นมากเมื่อ ครอบครัวนี้โกงเธอในการซื้อขายที่ดิน ดังนั้นก่อนตายเธอได้สาปแช่งว่าถ้าเธอเป็นผีฉันจะให้ดู และนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ครอบครัวของเบลล์ต้องประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ จากผีที่มองไม่เห็นไม่ว่าจะเป็น ข้าวของแตกกระจาย เข็มทิ่มตามร่างกาย นมหกเลอเทอะ ดึงผ้าคลุมจากเตียง การทุบตี แถมเสียงหัวเราะสยองแกล้งแบบสะใจ แม้กระทั่งตอนสมาชิกในครอบครัวตายผีตนนี้ยังไม่วายที่จะแสดงอิทธิฤทธิ์ หัวเราะร้องเพลงอย่างเริงร่าและดังยาวนานจนผู้ร่วมพิธีศพคนสุดท้ายออกจากงานฝังศพแม้ทุกวันนี้ครอบครัวเบลล์จะหมดรุ่นไปแล้วเกือบ 200 ปี ก็ตาม แต่ทุกวันนี้วิญญาณยังปรากฏตัวอยู่ เนื่องจากมีผู้พบเห็นปรากฏการณ์แปลกๆ ภายในถ้ำแห่งหนึ่งตั้งอยู่ในบริเวณครั้งหนึ่งที่เคยเป็นสมบัติของเบลล์

อันดับ 9 ผีที่บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์สแควร์ (50 Berkeley Square)สถานที่พบเจอ บ้านเลขที่ 50 เบิร์กเลย์ สแควร์ กรุงลอนดอนผีที่นี่ดุจริงๆ เพราะมันทำให้เหยื่อเคราะห์ร้ายต้องสังเวยให้กับมัน แม้ไม่มีใครทราบที่มาแต่หลายคนต่างโดนมันฆ่าถ้าใครก็ตามที่มานอนพักบ้านร้าง หลังนั้น เช่นในปี 1887 กะลาสีสองคนชื่อเอ็ดเวิร์ด บลันเดนและโรเบิร์ต มาร์ติน ได้อาศัยบ้านหลังนี้พักชั่วคราวและต่อมากลางคืนบลันเดนก็พบเห็น ผีและสู้กับมันส่วนมาร์ตินหนีออกมาเพื่อแจ้งตำรวจและเมื่อกลับมาก็พบบลันเดนตายอยู่บันไดชั้นล่างในสภาพคอหัก ดวงตาเบิกโพลง นอกจากนั้น จอร์จ แคนนิ่ง นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ก็โดนด้วยและ เสียชีวิตในปี 1827 ปัจจุบันคนละแวกแถวนั้นมักตกใจเสียงทุบและเสียงกระแทกปึงปังในบางคืน

อันดับ8 บ้านอมิตี้วิลล์ (Amityville House)สถานที่พบเจอ บ้านเลขที่ 112 โอนอเวนิว อเมริกาบ้านอมิตี้วิลล์ โอนอเวนิว เป็นบ้านทรงดัทซ์ โคโลเนียล หน้าตาเหมือนโรงนาทรงสูงที่ที่สวยงามมากหลังหนึ่ง ถูกสร้างตั้งแต่ปี 1924 แต่เมื่อ 13 พฤศจิกายน ค.ศ. 1974 เกิดการฆาตกรรมหมู่ครอบครัวหนึ่งจากนั้นเป็นต้นมาที่นี่ก็กลายเป็นบ้านผีดุไปในบัดดลโดยที่โด่งดังที่สุดคือกรณี ของ ครอบครัวของจอร์จ ลัทซ์ก็อาศัยอยู่บ้านหลังนี้และพบเหตุการณ์ประหลาดแทบทุกคืนไม่ว่าจะเป็น เสียง รอยเท้า ผีอำ ฯลฯ นอกจากนั้น ไม่ว่า ใครหน้าไหนเอา เรื่องนี้มาแต่งเป็นนิยายหรือทำเป็นหนังจะโดนคำสาป เห็นได้จาก เคยมีคนนำเรื่องอมิตี้วิลล์มาสร้างหนังปรากฏว่าหลายคนในกอง ถ่าย ต่างประสบเคราะห์กรรมต่างๆ นาๆ ไม่ว่าจะเป็นปรากฏการณ์ลึกลับ เจ็บไข้ ได้ป่วย หรือแม้กระทั่งตายอย่างลึกลับ (ปัจจุบันเราสามารถหาดู เรื่องนี้จากหนังเรื่องผีทวงบ้าน) ระวังจะโดนคำสาบ!!

อันดับ 7 เดอะ ฟลายอิ้ง ดัชท์แมน (Flying Dutchman)สถานที่พบเจอ แหลม Good Hope ฮอลแลนด์ และท้องทะเลทั่วโลก(ไทยก็เคยเจอ)เป็นเรือปีศาจที่ปรากฏตัวให้เห็นบ่อยๆ ในทั่วโลกมาแล้วหลายร้อยปี เดิมคือ เรือ Flying Ducthman เป็นของกัปตัน Van Der Decken ที่นิสัยไม่ดีโดยเขาหายสาปสูญที่แหลม Good Hope ก่อนหายได้ตะโกนขึ้นว่า "ข้าจะยังคงวนเวียนอยู่ที่แหลมแห่งนี้ ถึงแม้ว่าข้าจะต้องล่องเรือจนถึงวาระสุด ท้าย ของโลกก็ตาม" และนับจากนั้นเป็นต้นมาผู้คนทั่วโลกก็พบเรือปีศาจแบบนี้ และว่ากันว่าเรือใดที่เห็นเรือปีศาจนี้จะต้องรับความพินาศ โดยในปี 1881 คนประจำเรือเจ้าชายจอร์จที่ 5 เห็นเรือนี้จากนั้นไม่นานเขาก็พลัดตกเสากระโดงเรือตาย.... ทุกวันนี้ก็ยังมีคนกล่าวอ้างอยู่เสมอว่าเห็นเรือ ฟลายอิ้ง ดัทช์แมนยังคงรอนแรมอยู่เดียวดายกลางทะเลด้วยรูปลักษณ์อันเศร้าโศกและสยดสยอง ริชาร์ด วากเนอร์ คีตกวีชื่อก้องโลกได้อาศัย ตำนานปีศาจนี้แต่งอุปรากรที่มีชื่อว่า Der Fliegende Hollander

อันดับ 6 วิญญาณที่โบลถ์บอร์ลีย์ (Borley Rectory)สถานที่พบเจอ กรุงลอนดอนทางตะวันออกเฉียงเหนือ 60 ไมล์ แถบชานเมืองเอสเซกซ์(ปัจจุบันโดนทุบทิ้งแล้ว)เมื่อปี ค.ศ.1362 นักบวชนิกายเบเนดิกทีนและแม่ชีจากสำนักชีในละแวกนั้นถูกพ่อมดหมอผีและชาวบ้านที่งมงายจับสองคนไปฆ่า โดยนักบวชถูก แขวนคอส่วนแม่ชีถูกฝังทั้งเป็นภายในผนังของสำนักชี ซึ่งต่อมาก็ได้กลายเป็นโบสถ์แห่งบอร์เลย์ในปี 1863 และหลังจากนั้นเหตุการณ์ประหลาดก็ เกิด ขึ้นต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นก้อนหินที่ขว้างไปโดยไม่รู้ที่มา รอยเท้าประหลาด เสียง และภาพหลอนขนาดปรากฏตัวในตอนกลางวันแสดๆ เลยโดยปี 1929 เธอปรากฏตัวถี่ขึ้นและเริ่มเห็นเต็มตัวโดยในลักษณะแต่งกายเป็นชีและท่าทางใบหน้าเศร้าหมองร้องขอให้มีผู้พบศพเธอเพื่อประกอบ พิธีทางศาสนา และมีผู้ถ่ายรูปเธอออกมาเพียบ จนกระทั่งคืนวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1939 ก็เกิดเพลิงไหม้ตอนเที่ยงคืนและเผาโบสถ์จนเหลือเพียง ซากและโบสถ์ก็โดนทุบทิ้งจนผีไม่ปรากฏตัวออกมาอีกเลย

อันดับ 5 วิญญาณสีชาด กษัตริย์เฮนรีที่ 4สถานที่พบเจอ ฝรั่งเศส ???วิญญาณ สีชาดตนนี้ไม่มีที่มา แต่มันสำแดงตนเสมอในช่วงเปลี่ยนกษัตริย์ของฝรั่งเศส เป็นร่างของชายสูงใหญ่ ใส่เสื้อคลุมสีชาด มีเครายาวสีชาด เช่นกัน ร่างนี้ไปปรากฏต่อพระพักตร์ของกษัตริย์เฮนรีที่ 4 แห่งฝรั่งเศส ในคืนที 13 พฤษภาคม 1610 ในห้องพระบรรทมของกษัตริย์เฮนรีเลยทีเดียว แล้วมันก็กล่าวคำพยากรณ์ว่า "พรุ่งนี้เจ้าจะต้องตาย" พระองค์ตกใจมากและรีบเรียกตัวขุนนางผู้ใหญ่มาหารือเพื่อหาทางแก้ไข และอีก 12 ชั่วโมงต่อมา เฮนรีก็ถูกผลักตกจากบัลลังก์จริงตามคำพยากรณ์เพราะฟรองซัวราวิลแย็คทำการรัฐประหาร นอกจากนี้วิญญาณตัวนี้ยังสำแดงตนให้นโปเลียน โปนาปาร์ตเห็นถึง 4 ครั้ง และครั้งที่ 4 คือคืนวันที่ 5 พฤษภาคม 1821 ก็เป็นวันตายของนโปเลียนนั้นเอง

อันดับ 4 ผีชุดขาวแห่งเบอร์ลิน (Ghost White of The Berlin)สถานที่พบเจอ เยอรมัน ฝรั่งเศส ??ว่ากันว่าเป็นวิญญาณของอันนา ซิโดว์ ภรรยาลับของกษัตริย์โจอาคิมที่ 2 ในศตวรรษที่ 16 ที่ถูกจับขังจนถึงแก่กรรม ซึ่งใครก็ตามที่ได้เห็นวิญญาณ หญิงสีขาวเมื่อไหร่คนในราชวงศ์นั้นจะประสบเคราะห์กรรม เช่นปี 1619 มหาดเล็กของกษัตริย์จอร์น ซิกมุนด์เห็นร่างสีขาวก่อนที่จะตายโดยอุบัติเหตุ จากนั้นกษัตริย์จอห์น ซิกมุนด์ก็สวรรคต, นอกจากนั้นกษัตริย์หลายพระองค์ก็เห็นวิญญาณนี้ปรากฏที่รัสเซีย ปารีส และครั้งสุดท้ายที่ปรากฏคือวันที่ 29 เมษายน 1945 ซึ่งเป็นวันล่มสลายของนาซีเยอรมันที่เบอร์ลินพอดี!!

อันดับ 3 วิญญาณที่เรือควีนแมรี่ (Queen Mary)สถานที่พบเจอ เรือควีนแมรี่(ปัจจุบันถูกจอดไว้ที่เมืองลองบีช โดยดัดแปลงเป็นพิพิธภัณฑ์ โรงแรม)ควีนแมรี่เป็นเรือใหญ่มากลำหนึ่งในประวัติศาสตร์อังกฤษ เคยถูกนำมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วถูกปลดระวางในปี 1967 เพื่อนำไปทำโรงแรม ซึ่ง มีเรื่องเล่ากันว่าถ้าใครตายในเรือแมรี่มีอันต้องเป็นผีเฝ้าเรือทุกตน โดยมีผู้พบเห็นผีนี้ตามจุดทั่วเรือในลักษณะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นรอยเท้าที่เปียก น้ำ เด็กน้อยตามหาแม่และหายตัวไปต่อหน้า สตรีในชุดราตรีโบราณ ฯลฯ

อันดับ 2 วิญญาณของพระนางแคทเธอรีน โฮวาร์ด (Catherine Howard)สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษแม้พระนางจะโดนสำเร็จโทษหลังอภิเษกกับพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ได้เพียง 8 เดือน ไปตั้งแต่วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 1542 แล้วก็ตาม ระเบียงของพระราชวัง แฮมตัน คอร์ท พาเลสทุกวันนี้ยังมีเสียงร้องโหยหวนในยามดึกเสมอ นอกจากนี้ยังสิงสู่อยู่ที่อีธอร์น มาเนอร์ ฮอลลิงบอร์น เค้นท์ด้วย

อันดับ 1 วิญญาณของพระนางแอนน์ โบลีน (Anne Boleyn the headless Queen)สถานที่พบเจอ หอคอยลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระเจ้าเฮนรีที่ 8 นี้ช่างเป็นต้นเหตุสร้างเรื่องสยองจริงๆ เมื่อพระนางแอนน์ โบลีนพระมเหสีองค์ที่สองถูกสำเร็จโทษ 19 พฤษภาคม ปี 1536 โดยก่อนตาย นางกล่าวว่า "โอ้ ความตายนำข้าให้หลับใหล พาข้าให้พักอย่างเงียบสงัดนำข้าไปสู่ที่สุดแสนจะเงียบงันออกไปจากอกของข้า ที่ห่วงหาอาทร ย่ำระฆังความตายที่เศร้าสร้อย ปล่อยให้มันก้องกังวาน"ว่ากันว่าวิญญาณของพระนางจะกลับมาที่ บลิคลิง ฮอลล์ ในนอร์ฟอล์ค ในวันครบรอบที่พระนางถูกสำเร็จโทษ ซึ่งสถานที่แห่งนั้นพระนางเคยใช้ ชีวิต ในวัยเยาว์ที่นั้นเลยผูกพันเป็นพิเศษ ซึ่งมีรายงานปรากฏวิญญาณของพระนางไปยังสถานทีประสูติไม่ว่างเว้น โดยผู้คนมักเห็นร่างของหญิงสูงศักดิ์ปราศจากศีรษะ นั่งอยู่ในรถม้าที่ลากโดยม้าที่ปราศจากหัวสี่ตัว และคนขับซึ่งไม่มีหัวเช่นกัน รถม้าจะวิ่งช้าๆ ไปยังอาคารโบราณที่บลิงตันและ หายลับไปยังประตูหน้า นอกจากนี้พระนางยังปรากฏอยู่ที่หอคอยแห่งลอนดอนอีกด้วย โดยผู้ใดที่อยู่ตรงข้ามพระนางจะพลอยได้พบหายนะไปด้วย เสียสิ้น โดยใครพบเจอคนนั้นอาจหัวใจวายตายในเวลาไม่นาน ไม่ก็เสียสติ

6 แฟชั่นสยองในสมัยก่อน

อันดับ 6 คริโนไลน์(crinoline) คริโนไลน์ (crinoline) เป็นกระโปรงที่สวมบนสุ่ม (เพื่อให้กระโปรงบานออก) เป็นชุดที่มีกระโปรงบานๆ บานมากบานจนเหมือนสุ่มไก่บ้านเราโดยเขาจะทำเป็นโครงให้ให้มันบานใหญ่ โดยโครงทำมาจากมันทำจากขนม้า, เส้นป่าน หรือเหล็ก ซึ่งมันได้รับความนิยมในหมู่คนชั้นสูงในศตวรรษที่ 19 ทำไมมันถึงน่า กลัว? การออกแบบคริโนไลน์ของมันตอบสนองได้ดีทีเดียวเลยแหละเมื่อมีลมแรงๆ มาพัดอย่างกะทันหัน กระโปรงบานๆ ของเจ้าหล่อนจะถูกพัดเหมือนกับร่ม(กาง)ที่ปลิวของลมนั้นแหละ มีหลายรายถูกลมพัดดันให้ตกจากที่สูง(ที่ออกงานของพวกเธออยู่ที่สูงๆ ทั้งสิ้นนี้) และบางรายเพราะหายใจไม่ออกเพราะลมพัดแรงจนโครงเหล็กรัดตัวเธอจนกระดูกหัก บางรายกระโปรงเกิดไปเกี่ยวกับรถม้าและลากผู้หญิงที่ส่งเสียงร้องกรี๊ดตาม ท้องถนน แต่ที่เลวร้ายที่สุดคือกระโปรงนี้ติดไฟง่ายสุดๆ และเหตุการณ์ครั้งใหญ่ที่ตายเพราะกระโปรงตัวนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 1863 ในSantiago ประเทศซิลี ในอเมริกาใต้ มีคนตายกว่า 2000 - 3000 คน ในขณะไฟไหม้โบสถ์ เมื่อไฟผ้าคลุมหน้าต่างโบสถ์เกิดติดไฟ ผู้คนต่างพยายามหนีตายหาทางออกจากประตู แต่เจ้ากรรม ด้วยความกว้างของกระโปรงบานของเจ้าหล่อนดันไปขว้างติดประตูซะนี้(หลายคนพยายามออกประตูเดียว) แถมเอาออกยากซะด้วยสิเพราะมันทำจากโครงเหล็กนี้น่า ซึ่งมันทำให้ทางออกถูกปิดโดยสิ้นเชิง ที่นี้ก็ลองคิดละกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...ก็ตายยกหมู่

อันดับ 5 เดอะ คอร์ซิท (The Corset) เดอะ คอร์ซิท (The Corset) เป็นเสื้อรัดลำตัวสตรี,เสื้อยกทรงรัดรูปของสตรี และชุดชั้นในผู้หญิงที่สวมเพื่อให้สะโพกและหน้าอกเข้ารูปทรง นิยมในช่วงทศวรรษที่ 1830-1839 สมัย วิกตอเรียนที่ตั้งกฎเกณฑ์ศิลธรรมให้ผู้หญิงต้องใส่ ไม่ใส่ถือว่าผู้หญิงคนนั้นสกปรก ต่ำต้อย ไม่มีมารยาทและไม่มีศิลธรรม และสมัยศตวรรษที่ 19นิยมให้สตรีมีเอวคอดกิ่ว อกตั้ง ทำให้เสื้อนี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อทำหน้าที่ดังกล่าว ทำไมมันถึงน่ากลัว? เนื่องจากการใส่คอร์ซิทต้องรัดแน่นมากๆ แน่นจนทำให้กระดูกผิดรูป หรือ เราเรียกว่าเอวคอด ซี่โครงจะเจ็บปวดชา อวัยวะเครื่องในจะถูกเคลื่อนย้ายลงต่ำมาถึงก้น ทั้งเป็นสาเหตุให้การไหลของเลือดภายในผิดปกติ ใน1903 มี ผู้หญิงที่ตายทันทีเพราะเสื้อรัดลำตัวสตรีที่เป็นเหล็กกระแทกหัวใจของเธอ แต่กระนั้นแฟชั่นนี้ก็ถูกดัดแปลงให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบันมาเป็นชุดชั้นใน สุดเซ็กซี่ออกศึกที่นิยมของสาวๆ ทั้งหลาย

อันดับ 4 ฟุตบาดดิ้ง (Footbinding) ฟุตบาด ดิ้ง (Footbinding) เป็นการพันเท้าผู้หญิงให้เป็นรูปดอกบัว เป็นประเพณีปฏิบัติของผู้หญิงจีนโบราณ ซึ่ง เป็นที่นิยมในจีนสมัยศตวรรษที่ 8 โดยมันเริ่มมาจากสมัยก่อนจักรพรรดิ์มีเมียหลายคน แต่ไม่ค่อยมีเวลาเอาใจใส่กับเมียน้อยเหล่านี้มากนัก ทำให้หลายนางแอบไปมีชู้ จักรพรรดิจึงใช้วิธีป้องกันโดยการรัดเท้าเพื่อให้พวกเธอเดินเหินไม่สะดวก ซึ่งต่อมากลายเป็นค่านิยมที่ผู้หญิงในวังต้องวัดเท้า ชาวบ้านก็นึกว่าเป็นแฟชั่นของไฮโซเลยทำตามบ้าง จึงกลายเป็นค่านิยมของจีนในที่สุด โดยเกิดวลีว่า "ผู้หญิงที่เท้าเล็ก ยิ่งเซ็กซี่" ทำไมมันถึงน่ากลัว? กระบวนการพันเท้านั้นจะเริ่มต้นตั้งแต่ตอนที่เด็กอายุ 5-6 ขวบ โดยคนเป็นแม่จะใช้วิธี หักนิ้วน้อย ๆ สี่นิ้ว แล้วงอย้อนกลับไปทางด้านหลัง แล้วก็เอาผ้ามาพันเอาไว้ โดยจะพันแน่นขึ้นเรื่อย ๆ จนได้เท้าที่เล็กตามต้องการ(บาง ตำราก็เขียนว่าให้เอาเท้าแช่ปัสสาวะและกระเพาะแพะ) นอกจากนี้ผู้ที่ทำการพันเท้า กล้ามเนื้อตั้งแต่บริเวณสะโพกลงไปจะต้องเกร็งมากในการเดินแต่ละครั้ง เมื่อเยื้องย่างด้วยท่าอ้อนแอ้นแลดูสวยงาม จะเกิดความเจ็บปวดแสนสาหัส ราวเข็มพันเล่มกระหน่ำแทงพวกเธอราวกับขุนนรกโลกันต์ เท้าที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา กลิ่นจะเหม็นมากๆ จนเป็นแผลเน่า และเลวร้ายที่สุดคือเธอไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้สะดวกเกิดมีไฟไหม้บ้าน โจรมาข่มขืนละก็คงแล้วแต่ดวงแหละเพราะหนีไม่ได้...เหอๆ อีกตำนานของ "เท้าดอกบัวทองคำ" หลังจากสมัยราชวงศ์ถัง ประเทศจีนได้เกิดช่วงเวลาแห่งการแตกแยกครั้งใหญ่ขึ้นช่วงหนึ่ง ในบันทึกประวัติศาสตร์ เรียกช่วงเวลานี้ว่า "5ราชวงศ์ 10อาณาจักร" ในช่วงเวลานั้น ราชวงศ์ถังใต้ มีกษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า หลี่โฮ่วจู่ มีนิสัยชอบอ่านหนังสือ มีฝีมือด้านอักษรศาสตร์ และจิตรกรรม แต่กลับขาดความสามารถ ด้านการปกครองประเทศ พระองค์ ทรงมีพระสนมนางหนึ่ง เต้นรำอ่อนช้อยงดงาม ใช้ผ้าพันเท้า เท้านางเล็กโค้งงอดั่งพระจันทร์เสี้ยว นางสวมถุงเท้าขาว เต้นระบำอยู่บนดอกบัวที่ทำด้วยทองสูง 6 ฟุต ลอยละล่องดุจเทพธิดา นางได้รับความรักใคร่เอ็นดูจากโฮ่วจู่เป็นอย่างมาก คนสมัยต่อมาใช้คำ "จินเหลียน (ดอกบัวทอง)" มาบรรยายเท้าเล็กของหญิงสาว จากนั้นเป็นต้นมา กระแสนิยมมัดเท้าภายใต้การริเร่มของนักปกครองในสมัยศักดินา ก็ได้สืบทอดต่อๆกันมา ยุคแล้วยุคเล่า นับวันกระแสความนิยมนี้ ก็จะยิ่งรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งส่วผู้มีเท้าใหญ่แทบไม่มีโอกาสได้แต่งงาน หญิงสาวชาวจีนถูกกระทำอย่างทารุณ เช่นนี้นับเป็นเวลาถึงพันกว่าปี จน กระทั่งปัจจุบัน พวกเราสามารถเห็นบรรดาหญิงสาวสูงอายุที่มีเท้าเล็ก เดินเหินด้วยความยากลำบาก ตามถนนหนทาง หรือตามตรอกซอกซอยได้โดยบังเอิญ หญิงสาวเหล่านี้คือหลักฐานที่ยังมีชีวิต หลงเหลืออยู่ เพื่อแสดงให้เห็นถึงชะตากรรมของสตรีเพศ ภายใต้การปกครองในระบอบศักดินา "แฟชั่นรองเท้าดอกบัวทองคำ"

อันดับ 3 ฟองตางเก (The Fontange) ผมทรงฟอง ตางเก(The Fontange) เป็นการทำเกล้าให้ผมสูงไว้กลางศีรษะ มัดโบเล็กๆ หลายอันด้านหน้า จากนั้นประกบด้วยลูกไม้จีบและมัดมวยผมเป็นแผง 3 - 4 ชั้น วนไล่ขึ้นไปเป็นยอด ด้านหลังกับด้านข้างทิ้งปอยหยิกห้อยและผูกโบว์ยาวซึ่งยิ่งผมสูงยิ่งดีแสดง ถึงฐานะ โดยแฟชั่นนี้นิยมในฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 17 -18 ทำไมมันถึง น่ากลัว? ทรงผมนี้มันติดไฟง่ายครับ ยิ่ง งานราตรีที่มีโคมไฟระยิบระย้ายิ่งติดไฟง่ายไปใหญ่แถมเวลาไฟติดบนหัวของเจ้า หล่อนละก็ตัดยากสุดๆ เพราะหัวเธอเต็มไปด้วยวัสดุติดไฟง่ายทั้งนั้น และจากผมก็จะลามมาถึงคอและหน้าและมือ จากสาวสวยกลายเป็นสุเทพ สีใสทันที ซึ่งกรณีนี้เคยเกิดขึ้นกับ Angelique de Fontanges ชู้รักคนโปรดของกษัตริย์อังกฤษคนหนึ่งที่ตายเพราะทรงผมของเธอตัดไปโดนเทียน ทำให้หัวของเธอติดไฟ

อันดับ 2 ลีด เมคอัพ(Lead Makeup) เป็นการทำ ให้หน้าขาวมากที่สุดเท่าที่จะทำได้โดยใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของตะกั่ว ว่ากันว่าต้นกำเนิดมาจากประเทศกรีกในยุคโบราณกว่า2,000 ปีมาแล้ว และนิยมในฝรั่งเศสศตวรรษที่ 14 -19 ซึ่งสังคมนั้นมันชั้นสูงมากๆ แบบใครผิวดำถือว่าเป็นคนไม่มีเงิน(เพราะคนผิวดำมักทำงานหนัก คนผิวขาวไฮโซไม่ต้องทำงาน) ซึ่งคนดังที่ใช้แป้งข่าวทานั้นก็มีสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 1 แห่งอังกฤษ ทำไมมันถึงน่ากลัว? แน่นอนเพราะมันมีส่วนประกอบของตะกั่ว ซึ่งทางอนามัยโลก จัด เป็นวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในการผลิตอยู่แล้ว โดยลีด เมคอัพเครื่องสำอางโบราณนั้นมี ส่วนประกอบคือตะกั่วขาวผสมกับขี้ผึ้ง ไขมันสัตว์ น้ำมันและไข่ขาว ซึ่งสารตะกั่วนี้เป็นอันตรายต่อร่างกายเป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากทำให้เบื่ออาหาร ท้องไส้ปั่นป่วน มึนงง แขนขาชา ตาบอด และหายใจไม่ออก บางครั้งอาจเสียชีวิตได้ หรือถ้าร่างกายสะสมตะกั่วมากๆ อาจเป็นมะเร็งได้ โดยในปี 1760 Marie Gunning สตรีชั้นสูงชาวไอริชที่มีชื่อเสียงในด้านหน้าขาวของเธอกลายเป็นเหยื่อรายแรก ของการใช้สารตะกั่วพิษ และในปี 1878 คุณนาย Madame Rachel,ก็ตายเพราะพิษของตะกั่วที่ทาบนหน้าเช่นกัน

อันดับ 1เดอะ สตีฟ ไฮ คอลล่า (The Stiff High Collar) เป็น คอเสื้อแข็งๆ ใส่เพื่อให้ปกเสื้อสูงขึ้น นิยมใช้กับผู้ชายในศตรรษที่ 19 โดยคอเสื้อจะเป็นสีขาว เวลาใส่ก็เอาชุดเชิ๊ตมาใส่ทับอีกที ทำให้เหมือนเป็นคนขี้โอ่ มีอำนาจ โดยบุคคลสำคัญที่ใส่ก็มี ออสกา ไวลด์Oscar Wildeนักประพันธ์ชาวไอซ์แลนด์ ทำไมมันถึงน่ากลัว? ที่เยอรมัน, เดนมาร์ก และดัชท์ เรียกเจ้าปลอกคอนี้ว่า"พ่อมือสังหาร father killer " ซึ่ง ดูรูปร่างคงจะทราบแล้วมั้งว่ามันน่ากลัวยังไง คือมันทำให้ทำให้คนสวมหายใจลำบากและอึดอัดที่ลำคอเพราะมันค่อนข้างบีบรัดคอ พอสมควร ซึ่งคนสวมมักเสียชีวิตในขณะใส่ชุดนี้ตอนเวลานอนและพอมันรัดคอคนสวมมักตาย เพราะขาดอาการหายใจอย่างไม่รู้ตัว และทำให้เกิดฝีในสมอง เวลากินข้าวก็ผ่านลำคอยากแต่ที่ร้ายสุดๆ คือมันเหมือนกิโยตินแบบพกติดตัวคือในปี 1800 ชายคนหนึ่งหัวขาดเพราะคอเสื้อไปเกี่ยวกับรถขณะวิ่งมาแล้ว