วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ใบบัวบก


ใบบัวบกเป็นที่รู้จักกันดีในนามสมุนไพรสำหรับ ความทรงจำ (Herb for Brain) มีชื่อทาง
วิทยาศาสตร์ว่า Centella Asiatica พบว่ามี
การนำใบบัวบกมาใช้เป็นครั้งแรกในประเทศ
อินเดียและเป็นส่วนหนึ่งของตำราอายุรเวท
ของชาวอินเดีย นอกจากนี้ใบบัวบกได้รับ
ความนิยมอย่างแพร่หลายในประเทศจีน
มากว่า 2,000 ปี ในปัจจุบันเป็นที่นิยมในแถบ
ประเทศตะวันตกด้านการเป็นเครื่องดื่มสำหรับ
บำรุงระบบประสาทและเสริมการพัฒนาของ
ระบบความจำรวมทั้งป้องกันความจำเสื่อม
ประโยชน์ที่ได้รับจากการใช้ใบบัวบก
ป้องกันความเสี่ยงต่อการเกิดโรค
อัลไซเมอร์ โดยยับยั้งการสร้างสารที่ทำลายเซลล์สมองคือ Abeta Toxicity
ในสมองโดยเฉพาะในส่วนฮิปโปแคมบัส
(Hippocampus) ซึ่งทำหน้าที่เกี่ยว
กับความทรงจำ
ลดความเครียดจากการทำงานหนัก ปรับปรุง ระบบการรับส่งกระแสประสาท ปฏิกิริยารีเฟล็กซ์ (Reflex Reaction) หรือปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัว
ดีเอชเอ (DHA) เป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่ม
โอเมก้า-3 ที่พบมากในปลาทะเล เช่น
ปลาทูน่า ปลาแซลมอน เป็นต้น ตามปกติ
ร่างกายคนเราสามารถสร้างกรดไขมัน
ไม่อิ่มตัวกลุ่มโอเมก้า-3 จากปฏิกิริยา
กรดอัลฟา ไลโนเลนิค แอซิดกับเอ็นไซม์
ต่างๆ ในร่างกาย จากการศึกษาพบว่า
อาการขาดกรดไขมันดีเอชเอในมนุษย์มี
ความสัมพันธ์กับอาการลดการเรียนรู้และ
ภาวะการณ์ไวต่อแสงของจอเรตินา
การมองภาพไม่ชัดและอาการบวมน้ำ
นอกจากนี้ยังพบว่าการเสื่อมสลายของ
กรดไขมันดีเอชเอในเซลล์ต่างๆ นั้น
ไม่สามารถกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ ดังนั้น การได้รับสารอาหารจำพวกดีเอชเอจากปลา
ทะเลน้ำลึก เช่น ปลาทูน่าและปลาแซลมอน จึงเป็นการช่วยเสริมระดับการเรียนรู้ ความ
ทรงจำ และช่วยฟื้นฟูประสิทธิภาพการมองเห็น จากรายงานทางการแพทย์ยืนยันว่าการรับประทานดีเอชเอจากปลาทะเลสามารถช่วยดูแลสุขภาพสมองด้านความทรงจำและพัฒนาการของเซลล์สมอง โดยเฉพาะในวัยเด็กตั้งแต่แรกเกิดทั้งยังมีส่วนช่วยดูแลสุขภาพของระบบสมองส่วนกลางได้เป็นอย่างดี

บทบาทของดีเอชเอกับสมองและดวงตา
จากหลักฐานทางการแพทย์ระบุว่า ดีเอชเอ
เป็นองค์ประกอบสำคัญของสมองรวมถึง
เซลล์ประสาทต่างๆ ตลอดจนเซลล์เรตินา
ของดวงตาจึงอาจกล่าวได้ว่า ดีเอชเอมี
บทบาทสำคัญทำให้เซลล์ประสาทและ
เซลล์เรตินาของดวงตาทำงานได้เป็นปกติ
ดังนั้นจึงมีการแนะนำสตรีที่ตั้งครรภ์และให้
นมบุตรรับประทานและมีการเสริมดีเอชเอ
ในอาหารสำหรับทารก เพื่อมุ่งหวังให้
พัฒนาการของเซลล์สมองและเซลล์
ประสาทของทารกเป็นไปอย่างมี
ประสิทธิภาพ

นอกจากนี้ยังมีการใช้กรดไขมันไม่อิ่มตัว
ดีเอชเอกับภาวะสมองเสื่อมในวัยสูงอายุ
เช่น โรคอัลไซเมอร์หรือโรคสมองเสื่อม
(Dementia) ผู้สูงอายุจะมีความเสี่ยง
ต่อการได้รับกรดไขมันไม่อิ่มตัวกลุ่ม
โอเมก้า–3 ได้น้อยลง โดยเฉพาะใน
กรดไขมันฟอสโฟไลปิด (Phospholipid)
ของเซลล์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงเซลล์สมอง
ด้วยดังนั้นการเสริมสารสกัดดีเอชเอ
จึงเป็นหนทางหนึ่งในการรักษาระดับ
กรดไขมันไม่อิ่มตัวสูงในเซลล์ต่างๆ
Miyanaga และคณะได้ทำการทดลอง
เสริมสารสกัดดีเอชเอในปริมาณ 700
มิลลิกรัมต่อวัน ในอาหารสำหรับผู้ป่วย
ด้วยโรคความจำเสื่อม พบว่าผู้ป่วยมี
ความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกของอาการ
ดังกล่าว จากการศึกษาวิจัยพบว่าเซลล์
ประสาทมีการเสื่อมสลายไปทุกระยะ
การรับประทานกรดไขมันโอเมก้า-3
จะช่วยซ่อมแซมเซลล์ประสาทเหล่า
นั้นได้แม้กับเซลล์สมองของผู้ใหญ่ที่
พัฒนาเต็มที่แล้ว ในปัจจุบันมีรายงาน
ทางการวิจัยระบุว่ากรดไขมันดีเอชเอ
ช่วยทำให้สมองของคนทั่วไปทำงาน
ได้เป็นปกติ โดยพบว่าดีเอชเอในอาหาร
จะช่วยทำให้ความสามารถในการ
เรียนรู้ดีขึ้น ขณะที่อาหารที่ขาดดีเอชเอ
ส่งผลกระทบต่อการเรียนได้
(Horrock and Yeo 1999)

วันอาทิตย์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2557

ความหมายของเครื่องรางยมทูต

เครื่องรางยมทูต (อังกฤษ: Deathly Hallows) เป็นของวิเศษในหนังสือนิทานของบีเดิลยอดกวี และเป็นกุญแจสำคัญในการไขเรื่องราวทั้งหมดในแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต เชื่อกันว่า ผู้ครอบครองทั้งหมดจะกลายเป็น "นายแห่งความตาย" หรือ "นายแห่งยมทูต" มี 3 สิ่ง ได้แก่ ผ้าคลุมล่องหน หินชุบวิญญาณ และไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์

ผ้าคลุมล่องหน
เดิมเป็นของ อิกโนตัส เพฟเวอเรลล์ น้องคนสุดท้องของตระกูลเพฟเวอเรลล์ และถูกส่งไปเรื่อย ๆ แบบรุ่นต่อรุ่น จนถึงเจมส์ พอตเตอร์ ระหว่างนั้นก่อนวันที่เจมส์และลิลี่ พอตเตอร์ถูกสังหาร อัลบัส ดัมเบิลดอร์ได้ขอยืมผ้าคลุมล่องหนไปตรวจสอบ และเมื่อแฮร์รี่เข้าเรียนที่ฮอกวอตส์ ดัมเบิลดอร์จึงคืนผ้าคลุมล่องหนให้ ผ้าคลุมล่องหนอันนี้ไม่เหมือนผ้าคลุมล่องหนทั่วไปตรงที่มันสามารถทำให้ผู้ใช้สามารถล่องหนได้อย่างแท้จริง ไม่มีวันเสื่อมสภาพหรือฉีกขาด และไม่มีคาถาใดใช้กับผ้านี้ได้ผล (อ้างอิงจากเล่ม7ตอนที่พวกแฮร์รี่ลักลอบเข้าไปในหมู่บ้านฮอกส์มี้ดแล้วคนพยายามจะใช้คาถาเรียกของกับผ้าคลุมแต่มันไม่ได้ผล)

หินชุบวิญญาณ
เดิมเป็นของแคดมัส เพฟเวอเรลล์ พี่คนรอง ที่ปรารถนาจะนำหญิงที่เขารักกลับคืนมาจากความตาย แต่เมื่อเขาได้นำหญิงคนนั้นกลับมาจากความตาย หญิงคนนั้นอยู่กับเขาในรูปแบบของวิญญาณ เขาจึงเสียใจและตรอมใจตายในที่สุด หินชุบวิญญาณถูกตกทอดมาสู่มาโวโล่ ก๊อนท์ ในลักษณะของแหวนประจำตระกูลก๊อนท์ โดยไม่รู้ว่ามันคือหินชุบวิญญาณ และก็ได้กลายเป็นฮอร์ครัก์ชิ้นหนึ่งของโวลเดอมอร์ หลังจากนั้นดัมเบิลดอร์ค้นหาและทำลายฮอร์ครักซ์ ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต ดับเบิลดอร์ส่งหินชุบวิญญาณให้แฮร์รี่ พอตเตอร์โดยใส่ในลูกสนิทสีทอง เมื่อแฮร์รี่จะเข้าไปในป่าต้องห้ามเพื่อพบโวลเดอมอร์ ก่อนจะพบเขาได้เปิดลูกสนิทสีทองให้หินชุบวิญญาณปรากฏขึ้นและได้หมุนมัน 3 รอบ และร่างวิญญาณของลิลลี่ เจมส์ ซีเรียส และรีมัสก็ปรากฏตัว แฮร์รี่ไม่ต้องการมันอีกจึงทิ้งมันไว้ในป่าต้องห้าม และหายสาบสูญไป

ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์
เจ้าของคนแรก คือ แอนตีโอก เพฟเวอเรลล์ ขณะที่เขาเมาเหล้าองุ่นอยู่ในโรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งก็ถูกฆ่าตาย แล้วไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ก็เปลี่ยนเจ้าของมาเรื่อย ๆ ผ่านการฆ่า หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จนมาอยู่กับเกรโกโรวิตช์ ช่างทำไม้กายสิทธิ์ แล้วก็ถูกกรินเดลวัลด์ขโมยไป กรินเดอร์วัลด์ใช้ไม้กายสิทธิ์ทำเรื่องเลวร้าย จนดัมเบิลดอร์ตระหนักว่าเขาเป็นคนเดียวที่สามารถสยบกรินเดลวัลด์ได้ ดัมเบิลดอร์จึงจัดการกับกรินเดอร์วัลด์และยึดไม้กายสิทธิ์มาครอบครอง

ในแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต โวลเดอมอร์ต้องการเป็นเจ้าของไม้กายสิทธิ์ จึงไปที่หลุมศพของดัมเบิลดอร์และยึดไม้กายสิทธิ์มาแต่ก็ไม่สามารถใช้มันได้เท่าที่ควร โวลเดอมอร์จึงเข้าใจว่าสเนปเป็นเจ้าของไม้เพราะสเนปเป็นคนฆ่าดัมเบิลดอร์ จึงเรียกมาสังหารทิ้ง แต่ความจริง เดรโก มัลฟอยเป็นเจ้าของไม้กายสิทธิ์เพราะเสกคาถาปลดอาวุธใส่ดัมเบิลดอร์ในคืนที่เขาเสียชีวิต และแฮร์รี่เป็นผู้ปลดอาวุธเดรโก มัลฟอย แฮร์รี่จึงเป็นเจ้าของไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ โวลเดอมอร์ตายเพราะถูกคำสาปพิฆาตที่เสกโดยไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์เพื่อฆ่าแฮร์รี่สะท้อนกลับ(ไม้กายสิทธิ์จะไม่ทำร้ายเจ้านายตัวเอง) หลังสงครามยุติ แฮร์รี่ตัดสินใจใช้ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ซ่อมไม้กายสิทธิ์เก่าของตัวเองและนำไม้เอลเดอร์ไปคือที่หลุมศพของดัมเบิลดอร์ และถ้าไม่มีใครมาแย่งไม้ไปจากแฮร์รี่อีกไม้ก็จะหมดพลังไปหลังจากที่เขาตาย

สัญลักษณ์
สัญลักษณ์ของเครื่องรางยมทูตคือรูปสามเหลี่ยม มีเส้นตรงทับวงกลม ซึ่งทั้งสามสัญลักษณ์สามารถตีความหมายออกมาได้ ซึ่งทั้งสามสิ่งหมายถึงเครื่องรางยมทูตทั้งสามนั่นเอง โดยทั้งสามสัญลักษณ์จะตีความหมายได้เป็นเครื่องรางยมทูตสามชิ้นด้วยกันนั่น คือ

สัญลักษณ์สามเหลี่ยม แทน ผ้าคลุมล่องหน
สัญลักษณ์วงกลม แทน หินชุบวิญญาณ
สัญลักษณ์ขีดตรงกลาง คือ ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์
ด้วย ความเข้าใจผิดของสัญลักษณ์ของเครื่องรางยมทูต ใครต่อใครหลายคนต่างพากันคิดว่า เป็นสัญลักษณ์ของพ่อมดศาสตร์มืดผู้เคยโด่งดัง ในนามกรินเดลวัลด์ แท้ที่จริงแล้วเขาคือหนึ่งในผู้เชื่อในนิทานสามพี่น้อง นิทานของบีเดิลยอดกวี และออกติดตามมัน

วันจันทร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2557

น้ำแร่ ( Mineral Water)

น้ำแร่ (อังกฤษ: Mineral Water) คือน้ำชนิดหนึ่งที่มีแร่ธาตุผสมในอัตราสูงกว่าน้ำปกติ ได้จากแหล่งน้ำธรรมชาติ เป็นน้ำที่ผู้คนนำมาใช้ดื่มและอาบ โดยที่ผู้คนเชื่อว่าการดื่มน้ำแร่นั้นจะช่วยบำรุงสุขภาพ ซึ่งปัจจุบันได้มีผู้ผลิตน้ำดื่มหลายรายที่นำน้ำแร่ธรรมชาติมาบรรจุขวดเป็นสินค้าขาย และการอาบน้ำแร่นั้นเชื่อว่าเป็นการช่วยในการบำรุงผิวพรรณ นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่มีน้ำแร่เป็นส่วนประกอบ เช่น สเปรย์น้ำแร่ใช้ฉีดที่ผิวหน้า ซึ่งว่ากันว่ามีสรรพคุณในการทำให้หน้าสดชื่นและผ่อนคลายความตึงเครียด
น้ำแร่ที่สำคัญของโลกมีเช่น น้ำแร่ซัมซัม

วันอังคารที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

La vie en rose

ลาวีอ็องโรซ (ฝรั่งเศส: La vie en rose แปลว่า Life through rose-coloured glasses, ชีวิตมองผ่านแว่นตาสีกุหลาบ หรือ "ชีวิตสีชมพู") เป็นเพลงที่มีชื่อเสียงที่สุดและถือเป็นเพลงประจำตัวของเอดิต ปียัฟ แต่งทำนองโดย ลุยส์ กูกลิเอมี แต่งคำร้องภาษาฝรั่งเศสโดยตัวปียัฟเอง

เดิมปียัฟและทีมงานไม่คิดว่าเพลงนี้จะประสบความสำเร็จ แต่เมื่อออกเผยแพร่ในปี
ค.ศ. 1946 กลับเป็นชื่นชอบของผู้ฟัง จนปียัฟต้องร้องเพลงนี้ทุกครั้งที่ออกแสดง และปรากฏอยู่ในผลงานอัลบั้มแทบทุกชุดของปียัฟหลังจากนั้น

คำร้องภาษาอังกฤษของเพลงนี้ แต่งโดยแม็ก เดวิส ถูกนำมาขับร้องโดย อารีธา แฟรงคลิน ดอนนา ซัมเมอร์ บิง ครอสบี ดีน มาร์ติน เอลลา ฟิตซ์เจอรัลด์ หลุยส์ อาร์มสตรอง เชอร์ลีย์ แบสซีย์

ชื่อ ลาวีอ็องโรซ ถูกนำมาใช้เป็นชื่อภาพยนตร์สารคดีชีวประวัติของปียัฟ ในปี ค.ศ. 1998 และเป็นชื่อที่ใช้ในการฉายทั่วโลก ของภาพยนตร์ฝรั่งเศส La Môme ภาพยนตร์ชีวประวัติของปียัฟ นำแสดงโดยมารียง กอตียาร์

เอดิต ปียัฟ

เอดิต ปียัฟ (ฝรั่งเศส: Édith Piaf; 19 ธันวาคม ค.ศ. 1915 — 10 ตุลาคม ค.ศ. 1963) มีชื่อจริงว่า เอดิต โจวานา กาซียง (Édith Giovanna Gassion) นักร้องชาวฝรั่งเศส เชื้อสายอิตาลี-แอลจีเรีย ที่มีชื่อเสียงที่สุดในฝรั่งเศส [1] ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่สอง จนถึงวันเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1963 ขณะมีอายุเพียง 47 ปี ด้วยโรคมะเร็งตับ

ผลงานเพลงที่เอดิต ปียัฟ ร้องไว้ และมีชื่อเสียงได้แก่

La Vie en rose (1946)
C’est merveilleux (1946)
Hymne à l'amour (1949)
Padam… Padam… (1951)
Milord (1959)
Non, je ne regrette rien (1960)

แผ่นเสียงเพลง La Vie en rose ของเอดิต ปียัฟ ขายได้มากกว่า 3 ล้านชุด

ในปี ค.ศ. 2007 ภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่สร้างจากชีวประวัติของเอดิต ปียัฟ ชื่อเรื่อง La Môme (ใช้ชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า La Vie En Rose) กำกับโดย โอลิเวียร์ ดาฮาน นำแสดงโดย มารียง กอตียาร์ (Marion Cotillard) ได้รับรางวัลนักแสดงนำหญิงยออดเยี่ยม ทั้งรางวัลซีซาร์, รางวัลลูกโลกทองคำ, รางวัลบาฟต้า และรางวัลออสการ์

วันอังคารที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

*โคลอสเซียม*

*โคลอสเซียม* (อังกฤษ: Colosseum) หรือ*ทวิอัฒจันทร์ฟลาเวียน*(อังกฤษ
: Flavian Amphitheatre; ละติน
:Amphitheatrum Flavium; อิตาลี
: Anfiteatro Flavio หรือ Colosseo) เป็นสนามกีฬา
กลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม
 เริ่มสร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิเวสเปเซียน
แห่งจักรวรรดิโรมัน
 และสร้างเสร็จในสมัยของจักรพรรดิไททัส
 ในคริสต์ศตวรรษที่ 1
 อัฒจันทร์
เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527 เมตร สูง 57 เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คน มีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรี เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬา และมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบัน ใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 10 ปี
7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550
 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1 ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
 จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ต
และโทรศัพท์มือถือ

*นครปอมเปอี*

*นครปอมเปอี* (Pompeii) เป็นเมืองนครโรมันที่ถูกฝังบางส่วนใกล้กับเมืองเนเปิลส์
สมัยใหม่ ในแคว้นกัมปาเนีย ประเทศอิตาลี ปอมเปอีถูกทำลายบางส่วนและถูกฝังได้เถ้าและหินภูเขาไฟหนา 4 ถึง 6 เมตร จากเหตุภูเขาไฟวีซูเวียสปะทุใน ค.ศ. 79 ร่วมกับเฮอร์คิวเลเนียม

ปอมเปอีสาบสูญไปเกือบ 1,700 ปี ก่อนมีการค้นพบใหม่ใน ค.ศ. 1748 นับแต่นั้น การขุดค้นได้ให้ความเข้าใจอย่างละเอียดในชีวิตของนครระหว่างสันติภาพโรมัน ปัจจุบัน มรดกโลกของยูเนสโกแห่งนี้เป็นหนึ่งในแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมที่สุดของอิตาลี โดยมีนักท่องเที่ยวประมาณ 2.5 ล้านคนต่อปี

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ผลไม้ต้านมะเร็ง

          *ผลไม้ต้านมะเร็ง เชื่อไหมคะว่า ผลไม้หลายชนิดที่เราคุ้นลิ้นกันมาตั้งแต่เด็ก สามารถกินเป็นยาป้องกันมะเร็งได้อีกทางหนึ่งด้วย ส่วนจะมีอะไรบ้าง ลองมาดูกันเลย*
            
          โรคมะเร็งเป็นเนื้อร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์มานักต่อนัก แถมยังเป็นเชื้อร้ายที่ลุกลามไปยังส่วนต่าง ๆ อย่างรวดเร็วอีกต่างหาก แต่ที่สำคัญไปกว่านั้น อาหารและปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างในชีวิตเราก็เป็นสารก่อมะเร็งอีกเพียบเลยนะคะ ซึ่งก็หมายความว่า จริง ๆ แล้วเราดำเนินชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับโรคมะเร็งเหลือเกิน ฉะนั้นเมื่อมีวิธีไหนสามารถป้องกัน และต้านเชื้อมะเร็งได้ เราทุกคนคงยินดีและเต็มใจปฏิบัติตามอย่างไม่เกี่ยงงอนแน่ ๆ ซึ่งในวันนี้เราก็มีข่าวดีมาบอกต่อ *เพราะนอกจากยา และนวัตกรรมทางการแพทย์อื่น ๆ แล้ว ผลไม้ 15 ชนิดต่อไปนี้ก็สามารถต้านมะเร็ง และป้องกันความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งให้เราได้อีกทางหนึ่งด้วย**

*1. ทับทิม*
             ทับทิมไม่ได้มีแค่ไฟโตนิวเทรียนต์เท่านั้น แต่ยังพกกรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) ซึ่งเป็นกรดที่ช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ รวมทั้งยับยั้งการขยายของเซลล์ผิดปกติที่อาจจะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง โดยสถาบันมะเร็งแห่งชาติ ประเทศสหรัฐอเมริกา (National Cancer Institute
) ยังบอกเพิ่มเติมด้วยว่า สารเอลลาจิกในทับทิม สามารถป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของผู้หญิงได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว รู้อย่างนี้แล้วสาว ๆ อยากจะกินทับทิมกันแล้วใช่ไหมจ๊ะ
 

*2. มะขามป้อม*
            
          จากข้อมูลของมูลนิธิหมอชาวบ้าน
 เราก็พบว่า มะขามป้อมเป็นผลไม้อีกชนิดที่มีกรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) แฝงอยู่ด้วยเช่นกัน อีกทั้งยังมีวิตามินสูงมาก จนเกือบจะเป็นราชาผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีเลยทีเดียวล่ะ แถมยังพ่วงกรดฟิลเลมลิก (Phyllemblic Acid) และสารฟีนอล (Phenols) มาเป็นเพื่อนด้วย ซึ่งก็หมายความว่า มะขามป้อมเป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันมะเร็งกับเขาได้เหมือนกันนั่นเองค่ะ
 
*3. มันเทศ (Sweet Potato)*
            
          ในที่นี้อาจจะรวมไปถึงมันฝรั่งพันธุ์ต่าง ๆ ด้วยนะคะ ที่ศูนย์มันฝรั่งระหว่างประเทศ (The International Potato Center : CIP) เขายืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า มันฝรั่งเกือบทุกชนิดมีคุณสัมบัติป้องกันมะเร็งได้ 

          โดยอธิบายว่า มันฝรั่งอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต, เบต้าแคโรทีน, ไฟเบอร์, วิตามินเอ, วิตามินซี, ไรโบฟลาวิน (วิตามินบีชนิดหนึ่ง), กรดโพลีฟีนอล แอนตี้ออกซิแดนท์ คาเฟอิก (Polyphenol Anti-oxidants Caffeic Acid) และกรดคาเฟโออิวควินิก (Caffeoylquinic Acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมทั้งลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม
 

*4. มะละกอ*

          ผลมะละกอดิบมีวิตามินเอ และสารเบต้าเคโรทีน ช่วยบำรุงสายตาและช่วยต้านโรคมะเร็ง อีกทั้งยังมีวิตามินซี, แคลเซียม, ฟอสฟอรัส, และเหล็กซึ่งช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัด โรคลักปิดลักเปิด เลือดออกตามไรฟันและใต้ผิวหนัง นอกจากนี้ยังมีเอนไซม์พาเพน ซึ่งสามารถนำมาเป็นยาช่วยย่อยสำหรับผู้ที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อย รวมทั้งช่วยกระตุ้นน้ำนมสำหรับคุณแม่ที่เพิ่งคลอดอีกด้วย

          แต่ที่น่าสนใจก็คือ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฟลอริด้า ได้ทำการศึกษาและพบว่า คุณประโยชน์เหล่านี้ในผลมะละกอไม่ว่าจะดิบ หรือสุก สามารถช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการเข้าไปยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอก หรือเซลล์ผิดปกติที่ทำท่าว่าจะเป็นเซลล์ก่อมะเร็ง ที่สำคัญยังเจ๋งขนาดป้องกันได้ทั้งมะเร็งปากมดลูก, มะเร็งเต้านม, มะเร็งตับ และมะเร็งตับอ่อนเลยทีเดียวนะจ๊ะ
 

*5. แก้วมังกร*

          ผลไม้ไทย ๆ อย่างแก้วมังกร มีสารต้านมะเร็งกับเขาด้วย แต่ทั้งนี้ผลการศึกษาจากศูนย์วิจัยสารต้านอนุมูลอิสระก็แนะนำว่า สารสกัดจากเปลือกแก้วมังกรสีสด ๆ มีศักยภาพในการป้องกันมะเร็งดีกว่าการรับประทานผลสดซะอย่างนั้น แต่อย่างไรก็แล้วแต่ การรับประทานแก้วมังกรเป็นประจำก็สามารถป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด และช่วยในเรื่องระบบขับถ่ายเราได้เป็นอย่างดีอยู่แล้วเนอะ

*6. มังคุด*
            
          มังคุดเป็นผลไม้สัญชาติไทยแท้ที่หากินได้ง่ายในบ้านเรา ซึ่งผลการวิจัยโดย Current Molecular Medicine ก็บอกข่าวดีกับเราว่า ในมังคุดมีสารต้านเซลล์มะเร็งที่น่าสนใจนั่นก็คือ สารที่เรียกว่า แซนโทน (XANTHONE) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระชนิดหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสูงมาก สามารถซ่อมแซมเซลล์ส่วนมี่ถูกทำลายโดยปัจจัยต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี จึงถูกยอมรับว่าเป็นสารที่ช่วยต้านเซลล์มะเร็งตัวจี๊ดที่ไม่ควรมองข้ามเลยทีเดียว ทั้งนี้นอกจากกินผลสด ๆ แล้ว เรายังสามารถนำเปลือกมังคุดไปทำเป็นไวน์ไว้ดื่มได้อีกอย่างหนึ่งด้วยนะคะ
 

*7. องุ่น*
            
          มหาวิทยาลัยเวย์นสเตต (Wayne State University) ทำการศึกษาคุณสมบัติขององุ่นกับการต้านมะเร็งและพบว่า จากหลักฐานที่ทดลองกับมนุษย์มาอย่างยาวนาน สามารถพิสูจน์ได้ว่า วิตามินและสารอาหารที่พบในองุ่นทุกชนิด มีผลโดยตรงในการป้องกันโรคมะเร็ง อีกทั้งองุ่นยังมีสารอาหารที่สำคัญที่ดีคือน้ำตาล และสารอาหารจำพวกกรดอินทรีย์ เช่น น้ำตาลกลูโคส น้ำตาลซูโครส วิตามินซี เหล็กและแคลเซียม มีส่วนช่วยในการบำรุงสมอง บำรุงหัวใจ แก้กระหาย ขับปัสสาวะ และช่วยฟื้นกำลังคนที่ร่างกายผอมแห้ง แก่ก่อนวัยและไม่มีเรี่ยวแรงด้วยนะคะ
 

*8. ส้ม และผลไม้ตระกูลส้มทุกชนิด*
      นอกจากจะอัดแน่นไปด้วยกรดวิตามินซีแล้ว ในผลไม้จำพวกส้มยังมีคุณสมบัติต้านมะเร็ง โดยเฉพาะป้องกันมะเร็งเต้านม โดยข้อมูลทั้งหมดผ่านการรับรองและยืนยันความน่าเชื่อถือจากผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเทกซัสเอแอนด์เอ็ม (Texas A&M University) แล้วด้วยนะจ๊ะ
 
*9. แอปเปิล*
            
          สถาบัน Advances in Nutrition ได้ทำการวิจัยและพบว่า แอปเปิลเป็นผลไม้ที่มีคุณประโยชน์ในเรื่องของการลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง อีกทั้งยังป้องกันโรคมะเร็งได้ตั้งแต่สาเหตุของโรคเลยทีเดียว เนื่องจากสารฟลาโวนอยด์ในปริมาณที่สูงมากของเปลือกแอปเปิล สามารถล้างพิษออกจากร่างกาย และช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคมะเร็งลำไส้ได้นั่นเอง
 
 
*10. สตรอว์เบอร์รี*
            
          ไฟโตนิวเทรียนท์ (Phytonutrients) หรือสารพฤษเคมี บวกกับวิตามินซี และแร่ธาตุดี ๆ อีกหลายชนิดในสตรอว์เบอร์รี ก็เป็นส่วนสำคัญในการต้านเซลล์มะเร็ง และมีสรรพคุณบำบัดโรค โดยเฉพาะป้องกันโรคมะเร็งเต้านมของคุณผู้หญิง การันตีโดยผลวิจัยที่เว็บไซต์Exan Health
 

วันอังคารที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2557

7 คุณประโยชน์จากผลไม้

       1.ใยอาหาร มีประโยชน์ในการขับถ่าย ช่วยลดการดูดซึมของน้ำตาล ไขมัน และคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ช่วยขับของเสียออกจากร่างกายได้เร็วจึงลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งลำไส้ เพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดอนุมูลอิสระ ทำให้อินซูลินทำงานได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้มีแนวโน้มเป็นโรคเบาหวาน
       
       2.คาโรตินอยด์ มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ป้องกันโรคตาในผู้สูงอายุ เนื่องจากช่วยกรองแสงยูวีสีน้ำเงิน ลดความเสี่ยงในการเป็นต่อกระจก
       
       3.ฟลาโวนอยด์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ลดความดันโลหิต ลดน้ำตาลในเลือด เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ ฟลาโวนอยด์กลุ่มไอโซฟลาโวนอยด์มีฤทธิเหมือนฮอร์โมนเพศหญิง กลุ่มแคทธิชิน ช่วยเรื่องการควบคุมน้ำหนัก และกลุ่มแอนโทไซยานิน ซึ่งมีสีแดงยังช่วยขยายหลอดเลือด ป้องกันเซลล์ประสาท และบำรุงสายตา
       
       4.กรดฟินอลิค มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ กระตุ้นเอนไซม์ที่ต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็ง ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบ ลดปริมาณออกซิไดซ์แอลดีแอล ต้านการก่อกลายพันธุ์
       
       5.กรดอินทรีย์ เป็นสารที่ให้รสเปรี้ยว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ
       
       6.เทอร์ปีน เป็นสารที่ให้กลิ่นหอมมีฤทธิ์ยับยั้งมะเร็ง
       
       และ 7.พรีไบโอติก ประกอบด้วย อินนูลิน และโอลิโกแซคคาไรด์ ช่วยให้แบคทีเรียก่อโรคและมีประโยชน์สมดุลกัน และทำให้เกิดเมตาโบไลท์ที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน