วันจันทร์ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2557

10 อันดับประเทศที่มีคนอยากศึกษาต่อมากที่สุด

1. ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
แม้ปารีสจะเป็นเมืองที่มีค่าครองชีพสูง แต่เมื่อเฉลี่ยกับค่าธรรมเนียมการศึกษาที่ค่อนข้างถูกแล้ว ก็ทำให้สามารถวางแผนค่าใช้จ่ายให้อยู่ในงบประมาณได้โดยไม่ลำบากจนเกินไปนัก อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีคุณภาพชีวิตดี เป็นแหล่งผลิตนักศึกษาที่ประสบความสำเร็จและเป็นที่ต้องการตัวของนายจ้างจำนวนมาก มหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงในปารีสคือ École normale supérieure (นิยมเรียกกันว่า Normale หรือ ENS Paris) ตั้งอยู่ที่ Quartier Latin ย่านนักศึกษาที่มีชื่อเสียงแห่งกรุงปารีส ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ.1794 และเป็นสถาบันชั้นแนวหน้าในยุโรปมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังติดอันดับที่ 28 จากการจัดอันดับของ QS World University Rankings อีกด้วย
 
2. ลอนดอน ประเทศอังกฤษ

ลอนดอนเป็นเมืองที่ได้คะแนนการจัดอันดับสูงมาก ในด้านความนิยมของผู้ประกอบการที่ต้องการได้ตัวบัณฑิตจากลอนดอนไปทำงานด้วย และความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา แต่ได้คะแนนค่อนข้างต่ำในด้านค่าครองชีพ ส่วนเรื่องคุณภาพชีวิตแม้จะได้คะแนนต่ำกว่าเมืองอื่นๆ ใน 5 อันดับแรกเล็กน้อย แต่นักศึกษามากมายจากทั่วทุกมุมโลกก็ยังใฝ่ฝันมาเรียนต่อที่นี่ เพราะลอนดอนมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการศึกษามากมาย เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม เต็มไปด้วยสีสันความบันเทิงทั้งยามกลางวันและกลางคืน อีกทั้งยังมีความหลากหลายของเชื้อชาติและวัฒนธรรมให้เรียนรู้อีกด้วย โดยมีสถาบันการศึกษาที่โดดเด่นคือ University College London (UCL) มหาวิทยาลัยอันดับ 4  ของโลก  
 
3. สิงคโปร์ ประเทศสิงคโปร์

หนึ่งในประเทศอาเซียนอย่างสิงคโปร์เป็นเมืองที่มีมาตรฐานการศึกษาสูงระดับแนวหน้าของโลก แถมค่าครองชีพยังอยู่ในระดับที่ไม่แพงเกินไปนักเมื่อเทียบกับประเทศในฝั่งยุโรป อีกทั้งยังมีความปลอดภัยสูงติดอันดับโลก มีคุณภาพชีวิตที่ดี และนักศึกษาเป็นที่ต้องการตัวของตลาดแรงงาน ส่วนในด้านวัฒนธรรม สิงคโปร์ก็เป็นเมืองที่มีความหลากหลายของประชากรหลายเชื้อชาติอย่างมาก ผู้คนในท้องถิ่นจึงคุ้นเคยและยินดีต้อนรับชาวต่างชาติเป็นอย่างดี สิงคโปร์มีสถาบันการศึกษาที่โดดเด่นคือ the National University of Singapore (NUS) มหาวิทยาลัยอันดับ 24 ของโลก ใครที่ไม่อยากไปเรียนต่อไกลบ้านจนเกินไปสิงคโปร์ก็เป็นตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ
 
4. ซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

การจัดอันดับในปีนี้ออสเตรเลียตอกย้ำความเป็นประเทศยอดฮิตของการเรียนต่อเมืองนอก ด้วยการเข้าวิน Top 10 ถึง 2 เมือง ได้แก่ ซิดนีย์และเมลเบิร์น โดยซิดนีย์ได้คะแนนโดดเด่นอย่างมากในด้านคุณภาพชีวิตที่ดี ส่วนด้านอื่นๆ อย่างความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา และความนิยมของผู้ประกอบการ ก็มีผลคะแนนอยู่ในเกณฑ์ดีทีเดียว เพราะออสเตรเลียมีนักศึกษาต่างชาติมาเรียนต่อมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากอเมริกาและอังกฤษ ด้านการจัดอันดับมหาวิทยาลัยก็อยู่ที่อันดับ 38 ของโลก แต่ค่าครองชีพอาจจะสูงสักเล็กน้อย
 
5. เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย

อดีตเมืองหลวงเก่าของออสเตรเลียนอกจากจะเป็นเมืองแห่งการศึกษาแล้ว ยังเป็นเมืองแห่งศิลปะที่มีคะแนนโดดเด่นในด้านคุณภาพชีวิตแซงหน้าเมืองฮิปๆ อย่างปารีสและลอนดอนอีกด้วย ส่วนในด้านความหลากหลายทางเชื้อชาติก็ได้คะแนนสูงไม่เป็นรองใคร แถมยังมีดีที่ทัศนียภาพอันสวยงาม อากาศสดชื่น มองไปทางไหนก็เห็นต้นไม้เต็มไปหมด มีชายหาดให้ชิลล์เก๋ๆ ในฤดูร้อน และมีสีสันของความคึกคักยามค่ำคืน ที่จะทำให้ชีวิตนักเรียนนอกของคุณสนุกสุดเหวี่ยงอย่างแน่นอน และ University of Melbourne ก็ยังเป็นมหาวิทยาลัยคุณภาพติดอันดับ 31 ของโลก และดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ในออสเตรเลีย
 
6. ซูริค ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
เมืองใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์แห่งนี้ ได้คะแนนสูงลิ่วในด้านคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะมีความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นอย่างมากแล้ว อัตราเกิดอาชญากรรมต่ำ และยังมีภูมิทัศน์ทางธรรมชาติที่สวยงามอย่างแม่น้ำ Limmat ไหลผ่านใจกลางเมืองและแหล่งท่องเที่ยวสำคัญอีกด้วย ส่วนในด้านการศึกษาก็ถือว่าเป็นประเทศที่เก็บค่าเล่าเรียนค่อนข้างถูก คุ้มค่าต่อการมาศึกษาต่อ และมีสถาบันเทคโนโลยี ETH Zurich ที่ติดอันดับ 12 ของโลก
 
7. ฮ่องกง เขตปกครองพิเศษฮ่องกง

เมืองแห่งการศึกษาอันดับ 2 ของเอเชียแห่งนี้ จัดว่ามีค่าครองชีพค่อนข้างถูกเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ที่ติดอันดับโลก และถึงแม้ฮ่องกงจะมีมหาวิทยาลัยของรัฐเพียง 8 แห่ง แต่ทุกแห่งติดอันดับดีทั้งในระดับนานาชาติและเอเชียแปซิฟิก โดย QS ได้จัดให้ University of Hong อยู่ในอันดับที่ 26 ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก อีกทั้งยังเป็นประเทศที่อยู่ใกล้เมืองไทย วัฒนธรรมความเป็นอยู่มีกลิ่นอายผสมผสานระหว่างความเป็นตะวันออกและตะวันตก ไม่ฝรั่งจ๋าจนเกินไป ทำให้นักศึกษาใหม่สามารถปรับตัวเข้ากับสิ่งแวดล้อมได้ดี และรู้สึกสบายๆ กับการเรียนรู้โลกกว้างแบบไม่กดดันมากนัก
 
8. บอสตัน ประเทศอเมริกา

แม้บอสตันจะตกจากอันดับ 3 มาอยู่ที่อันดับ 8 ในปีนี้ แต่ก็ยังเป็นเมืองที่น่าสนใจสำหรับการเรียนต่อด้วยความโดดเด่นทางวิชาการ และเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของเมือง รวมถึงเป็นแหล่งรวมศิลปะและวัฒนธรรม จนได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่สำคัญแห่งหนึ่งของอเมริกา อีกทั้งยังเป็นที่ตั้งของ  Massachusetts Institute of Technology (MIT) และ Harvard University มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของอเมริกา จึงไม่น่าแปลกใจที่นักศึกษามากมายจะหลั่งไหลมาเรียนต่อที่นี่ และผู้ประกอบการองค์กรชั้นนำทั้งหลายก็นิยมมาดึงตัวนักศึกษาจากบอสตันไปร่วมงานด้วยเช่นกัน จึงทำให้บอสตันมีคะแนนสูงทีเดียวในด้าน Employer Activity
 
9. มอนทรีออล ประเทศแคนาดา
มอลทรีออลเป็หนึ่งในเมืองที่ติดอันดับเมืองน่าอยู่ระดับโลกบ่อยครั้ง และเป็นเมืองที่มีคุณภาพการศึกษาเป็นเลิศ โดยมี McGill University อยู่ในอันดับที่ 21 ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก คะแนนด้านที่โดดเด่นของมอนทรีออลคือความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา และยังเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง ประชากรสามารถพูดได้หลายภาษาอีกด้วย หากมีโอกาสได้มาเรียนต่อที่เมืองนี้ รับรองว่าไม่มีเบื่อแน่นอน เพราะมีการจัดกิจกรรมด้านดนตรี ศิลปะ วัฒนธรรมอยู่เป็นประจำ อย่างเช่น Montreal International Jazz Festival และ Just for Laughs เทศกาลตลกที่ใหญ่ที่สุดในโลก
 
10. มิวนิค ประเทศเยอรมนี
เมืองหลวงรัฐบาเยิร์นทางตอนใต้ของเยอรมนีแห่งนี้ นอกจากจะขึ้นชื่อในเรื่องเบียร์ ทีมฟุตบอลสุดเจ๋ง และความสนุกของ Oktoberfest แล้ว มิวนิคยังเป็นที่ตั้งของ Technische Universität München มหาวิทยาลัยที่ดีเป็นอันดับ 53 ของโลกอีกด้วย และในการจัดลำดับ Student City โดย QS มิวนิกก็ได้คะแนนสูงสุดในด้านค่าครองชีพต่ำ ค่าเทอมถูก ถือว่าเป็นเมืองที่คุ้มค่าต่อการมาเรียนต่อเอามากๆ และยังมีความปลอดภัยสูง มีคุณภาพชีวิตที่ดีไม่แพ้เมืองอื่นในยุโรป จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับการหาที่เรียนต่อ

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

สาเหตุที่ทำให้เกิดความเครียด

          1.อาการเครียดในช่วงรอยต่อระหว่างฤดูอาจพบ
เห็นได้ไม่มากนักในประเทศไทย ซึ่งเวลาในแต่ละฤดูไม่ได้แตกต่างกันมาก แต่ในประเทศแถบยุโรป ที่มีความแตกต่างระหว่างฤดูอย่างชัดเจน ช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านจากฤดูกาลหนึ่งสู่ฤดูกาลใหม่ สามารถทำให้เกิดความเครียดได้เนื่องจากร่างกายไม่สามารถปรับตัวตัวเข้าสู่เวลาของฤดูกาลใหม่ได้ทัน อย่างในฤดูหนาวที่กลางคืนยาวขึ้น และกลางวันหดสั้นลง แทนที่ร่างกายจะตื่นมาอย่างสดชื่นพร้อมกับอาทิตย์รุ่งอรุณ กลับต้องตื่นขึ้นมาเจอกับความมืดสลัวที่ไม่คุ้นเคยอย่างที่ผ่านมา ซึ่งในสภาพเช่นนี้จะทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนเมลาโทนิน ทำให้เกิดภาวะซึมเศร้าและเครียดได้ 

 2. การสูบบุหรี่
สารนิโคตินในบุหรี่ ออกฤทธิ์รบกวนการทำงานของสารเคมีในสมองอย่าง โดปามีน และ เซโรโทนิน ซึ่งทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท และยังมีหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการทำงานของยารักษาอาการซึมเศร้า (antidepressant drugs) ด้วย เมื่อสารทั้งสองตัวนี้ถูกรบกวน จึงทำให้เกิดอาการหงุดหงิด ไปจนถึงซึมเศร้าซึ่งนี่เป็นคำอธิบายด้วยว่า ทำไมผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงถอนยา หรือหย่าบุหรี่ จึงมีอาการเครียด เพราะฉะนั้นเพื่อรักษาสมดุุลของสารเคมีในสมอง หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ตั้งแต่ต้นจะดีที่สุด

 3. โรคไทรอยด์
ฮอร์โมนไทรอยด์ซึ่งผลิตจากต่อมไทรอยด์มีหน้าที่หลายหลาก ทั้งทำหน้าที่เป็นสารสื่อประสาท และรักษาระดับสารสื่อประสาทเซโรโทนินให้อยู่ในภาวะปกติ ผู้ป่วยโรคไทรอยด์ที่ไม่สามารถผลิตฮอร์โมนไทรอยด์ได้ตามปกติ จะทำให้เกิดภาวะที่เรียกว่า "ไฮโปไทโรดิซึ่ม"(hypothyroidism) เมื่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ผิดเพี้ยนไปจากเดิม จึงไม่สามารถทำตัวเป็นสารสื่อประสาทได้อย่าง เคยรวมถึงทำให้สารเซโรโทนินเสียสมดุลไป ด้วย ก่อให้เกิดอาการเครียดได้นั่นเอง 

 4. นอนน้อย
การนอนหลับพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ นอกจากจะทำให้รู้สึกหงุดหงิดได้ง่ายแล้ว ยังเป็นสาเหตุให้เกิดอาการเครียดด้วย มีผลการทดลองหนึ่งจากปี 2007 พบว่า เมื่อให้คนสุขภาพดีแต่นอนน้อย มาดูภาพที่ชวนหดหู่ สมองของคนกลุ่มนี้จะทำงานหนักกว่า คนสุขภาพดีที่พักผ่อนอย่างเต็มที่ แล้วถูกทดสอบด้วยประการเดียวกัน ซึ่งอาการที่เกิดขึ้นกับคนกลุ่มนอนน้อย เป็นอาการเดียวกับที่ปรากฏในผู้ป่วยที่เป็นโรคเครียด เพราะเมื่อนอนหลับไม่เพียงพอ สมองจึงไม่ได้รับการซ่อมแซมฟื้นฟู ทำให้การทำงานของสมองบางส่วนบกพร่องไป อันเป็นสาเหตุหนึ่งที่นำไปสู่ความรู้สึกเครียดนั่นเอง

 5. ติดเฟซบุ๊ก
สิ่งนี้ดูจะเป็นอาการทั่วไปของคนในยุคปัจจุบันเสียแล้ว นอกจากเฟซบุ๊ก ยังหมายรวมถึงโปรแกรมแชทต่าง ๆ รวมทั้งโซเชียลเน็ตเวิร์กอื่น ๆ ด้วย ซึ่งการใช้เวลามากเกินไปบนโลกออนไลน์นี้ ทำให้เกิดอาการเครียดตามมาได้ มีผลการศึกษาในปี 2010 กล่าวว่า ร้อยละ 1.2 ของคนอายุระหว่าง 16-51 ปี ในอเมริกา ใช้เวลากับโลกอินเทอร์เน็ตมากเกินไป และมีแนวโน้มว่าจะเกิดอาการเครียดได้ง่าย ตั้งแต่ระดับปานกลางจนถึงรุนแรง แต่อย่างไรก็ตามผลการวิจัยนี้ยังไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า การผูกติดกับโลกอินเทอร์เน็ตมากเกินไปทำให้เกิดอาการเครียด หรือ คนที่มีอาการเครียดง่ายเป็นทุนเดิม มักมีแนวโน้มยึดติดกับโลกออนไลน์มากกว่าคนทั่วไปกันแน่ 

 6. โปรแกรมโปรดฉายจบ
 เมื่อสิ่งที่ชื่นชอบและรอคอย เดินทางมาถึงตอนจบ ก็ทำให้อดใจหายไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นละคร ซีรี่ย์ หรือ ภาพยนตร์ที่ชื่นชอบ และการจบลงของโปรแกรมเหล่านี้ ยังให้เกิดอาการเครียดขึ้นได้ เพราะผู้ชมมักนำตัวเองไปผูกติดกับเรื่องราวที่ดำเนินไป แต่โลกความจริงนั้นไม่เหมือนกับในละคร ทำให้เกิดความผิดหวัง ซึมเศร้า และ เครียด ตามมาได้ ความเครียด

 7. แหล่งที่พักอาศัย
ประเด็นเรื่องการเลือกทำเลตั้งถิ่นฐานยังหยิบขึ้นมาถกกันได้บ่อย ๆ เพื่อหาข้อสรุปว่า การมีบ้านอยู่ในเมืองกับนอกเมืองนั้นแบบไหนดีกว่ากัน อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาหนึ่งในปี 2011 จากวารสาร Nature บอกว่า ผู้คนที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่มีความเสี่ยงที่จะประสบอาการเครียด มากกว่าคนที่อาศัยอยู่นอกเมืองถึงร้อยละ 39 เนื่องจากคนเมืองมีกิจกรรมให้ทำเยอะกว่า ซึ่งหมายถึงสมองต้องทำงานหนักกว่า และ มีโอกาสพบเรื่องที่ต้องให้เครียดจากกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านั้นเยอะกว่านั่นเอง

 8. ตัวเลือกการบริโภคที่หลากหลาย
สินค้าประเภทเดียวกันที่มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อในตลาด เป็นปัจจัยแฝงอย่างหนึ่งที่ก่อให้เกิดความเครียดขึ้นกับผู้บริโภคได้ ผู้บริโภคที่สามารถเลือกสินค้าที่ตรงกับความต้องการได้โดยไม่มีความลังเล จะรอดพ้นจากความเครียดนี้ ส่วนรายที่ชอบทดสอบ เลือกเฟ้น ค้นหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดี และคุ้มค่ามากที่สุด จะกลายเป็นเหยื่อความเครียดโดยไม่รู้ตัว 

 9. ไม่ทานปลา
ผลการศึกษาหนึ่งจากประเทศฟินแลนด์ ในปี 2004  พบว่าการขาดกรดไขมันโอเมก้า 3 อันพบมากในปลาแซลมอนและน้ำมันพืช ทำให้ผู้หญิงมีแนวโน้มเกิดอาการเครียดได้ง่าย อย่างไรก็ตามเรื่องนี้กลับไม่ส่งผลกระทบใดกับผู้ชาย คำอธิบายที่พอเชื่อถือได้กล่าวว่า เพราะกรดไขมันดังกล่าว ทำหน้าที่เป็นตัวช่วยในการรักษาระดับสมดุลของสารสื่อประสาทเซโรโทนิน ซึ่งหากสารนี้อยู่ในภาวะไม่เหมาะสมก็จะทำให้เกิดอาการเครียดได้

 10.เติบโตอย่างโดดเดี่ยวห่างไกลลูกพี่ลูกน้องแม้ การมีครอบครัวขยาย หรือการอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ จะก่อให้เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่น หรือความขัดแย้งและความเครียดได้ง่ายกว่าการอยู่แบบครัวเดี่ยว การอยู่แบบสบายตัว ไม่มีความสัมพันธ์ผูกพันให้ยุ่งยากจึงน่าจะฟังดูดีกว่า แต่ความจริงแล้วการเติบโตอย่างโดดเดี่ยวไร้การปฏิสัมพันธ์กับญาติ ๆ หรือลูกพี่ลูกน้องในรุ่นราวคราวเดียวกัน กลับทำให้เด็กรายนั้นมีโอกาสเติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ประสบภาวะเครียดง่ายได้ในภายหลัง ซึ่งสาเหตุเบื้องหลังเกิดจาก การขาดทักษะการสื่อสารและการเข้าสังคม แต่อย่างไรก็ดี การเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการทะเลาะวิวาทระหว่างพี่น้อง ก็ทำให้เกิดความเครียดได้เช่นกัน 

 11. ยาคุมกำเนิด
ฮอร์โมนโปรเจสเทอโรนแบบสังเคราะห์ที่มีอยู่ ในยาเม็ดคุมกำเนิด ก่อให้เกิดผลข้างเคียงในผู้หญิงบางรายได้ โดยจะทำให้มีอาการเครียด ไปจนถึงซึมเศร้า ยิ่งในรายที่มีประวัติเครียดง่ายอยู่แล้ว ก็จะปรากฏอาการนี้ได้ง่ายขึ้นในขณะที่พวกเธอใช้ยาคุมกำเนิดด้วย

 12. ยาชนิดอื่น ๆ 
อาการเครียดและภาวะซึมเศร้าอาจมาจากผลข้างเคียงของการใช้ยาบางประเภท เช่น แอคคิวเทน หรือยาในตระกูลไอโซเตรติโนอิน (isotretinoin) ซึ่งเป็นที่รู้จักจากสรรพคุณช่วยรักษาสิว, ยากล่อมประสาท รักษาอาการวิตกกังวล นอนไม่หลับ อย่าง วาเลียม (Valium), ซาแน็ก (Xanax) หรือแม้แต่ยาที่จ่ายให้กับหญิงวัยทอง อย่าง พรีมาริน(Premarin) ก็ทำให้เกิดอาการเครียด ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากการใช้ยานั่นเอง