วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

"ชาเขียว"

*ชาเขียว* (ญี่ปุ่น
: 緑茶 ryokucha ?
) , จีน
: 绿茶 - พินอิน
: lǜchá), อังกฤษ
: green tea) เป็นชาที่เก็บเกี่ยวจากพืชในชนิด
 "Camellia sinensis
" (เช่นเดียวกับชาขาวชาดำ และชาอู่หลง
[1]ชาที่ไม่ผ่านการหมัก ซึ่งมีประโยชน์ต่อสุขภาพและมีคุณสมบัติในการต้านทานโรค
ได้นานาชนิดจึงเป็นที่นิยมของคนส่วนใหญ่ น้ำชา
จะเป็นสีเขียวหรือเหลืองอมเขียว มีรสฝาดไม่มีกลิ่น แต่จะมีการแต่งกลิ่นเพื่อให้เกิดความน่ารับประทานมากขึ้น

ข้อดีของชาเขียว
*ต้านโรคไขข้ออักเสบ* กล่าวกันว่าชาเขียวช่วยป้องกันโรคข้ออักเสบรูห์มาติก (rheumatoid arthritis) ที่มักจะเกิดกับสตรีวัยกลางคน อาการของโรคโดยทั่วไปคือมีอาการของการอักเสบบวมแดง ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและข้อต่อ
*ลดระดับคอเลสเทอรอล* สารแคเทชินในชาเขียว ช่วยทำลายคอเลสเทอรอล และกำจัดปริมาณของคอเรสเทอรอลในลำไส้ แค่นั้นยังไม่พอ ชาเขียวยังช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่พอดีอีกด้วย
*ควบคุมน้ำหนัก* ถ้าคุณกำลังพยายามลดน้ำหนักอยู่ การจิบชาเขียวสามารถช่วยได้ดีทีเดียว จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์
พบว่า ชาเขียวช่วยเร่งให้ร่างกายมีการเผาผลาญอาหารและไขมันมากขึ้น
*กลิ่นปากและแบคทีเรีย* ป้องกันฟันผุ การดื่มชาเขียวนอกจากจะทำให้ร่างกายอบอุ่นแล้ว ยังช่วยทำให้ลมหายใจสดชื่นและป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย อันที่จริงแล้วพบว่าชาเขียวเป็นตัวช่วยยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปาก ต่อสู้กับเชื้อไวรัสในปากโดยกำจัดเชื้อแบคทีเรีย ผลการทดลองชี้ว่ายาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากอย่างเดียวนั้น ไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอในการต่อสู้กับเชื้อไวรัส
 ผลการศึกษาสรุปว่า สารพอลิฟีนอลส์ในชาเขียวช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียถึง 30% และลดการผลิตของสารประกอบที่เป็นสาเหตุทำให้ลมหายใจเหม็นบูด นอกจากนี้ชาเขียวมีสรรพคุณช่วยป้องกันฟันผุ โดยช่วยยับยั้งแบคทีเรียที่ชื่อ Streptococcus mutans ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดหินปูนที่มาเกาะฟัน คนส่วนใหญ่จะดื่มชาเขียวหลังอาหาร เพื่อช่วยให้ลมหายใจและกลิ่นปากสะอาดสดชื่น
*ป้องกันเชื้อไวรัสเอชไอวี
* ข้อมูลในวารสารวิทยาภูมิคุ้มกันทางการแพทย์
 และโรคภูมิแพ้ฉบับประจำเดือนพฤศจิกายน
ตีพิมพ์ไว้ว่า สารแคเทชินในชาเขียวโดยเฉพาะ EGCG มีสรรพคุณป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี ผลการทดลองแสดงให้เห็นว่า ชาเขียวเข้มข้นช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อไวรัสเอชไอวี จับตัวกับเซลล์เม็ดเลือดขาว ชนิดที่มีความสำคัญต่อภูมิคุ้มกันในร่างกายของคนเราที่เรียกว่า "ทีเซลล์" (T cells) ซึ่งเป็นด่านแรกที่ทำให้มีโอกาสติดเชื้อเอชไอวีได้ ถ้ามีผลการศึกษาเพิ่มเติมยืนยันผลการวิจัยดังกล่าวนี้ นักวิจัยกล่าวว่าจะนำสารในชาเขียวมาใช้ทดลองในการผลิตยาชนิดใหม่ เพื่อป้องกันการลุกลามของเชื้อเอชไอวีประโยชน์ของชาเขียวโทษของชาเขียวEdit

ชาเขียวมีประโยชน์ แต่ชาที่เข้มข้นเกินไป ก็อาจจะเกิดโทษได้เช่นกัน
  * ในผู้ป่วยที่เป็นโรคไทรอยด์
 จะมีอาการกระสับกระส่าย ใจเต้นเร็ว มือสั่นอยู่แล้ว การดื่มชาจะทำให้มีอาการเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น
  * หญิงมีครรภ์ ควรงดดื่มเพราะจะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์
  * ในรายที่เป็นผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรงดดื่มชา เพราะกาเฟอีนจะทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติ คือเต้นเร็วขึ้น (หากชอบดื่มชา ก็อาจเลือกชาชนิดที่สกัดกาเฟอีนออกแล้วก็ได้)
  * คนที่เป็นโคกระเพาะอาหารอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มชา เพราะชาจะกระตู้นให้ผนังกระเพราะอาหารหลั่งน้ำย่อยซึ่งมีสภาวะเป็นกรดมามากกว่าปกติ ทำให้อาการอักเสบยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตามในกรณีที่เป็นโรคกระเพาะแต่เลิกดื่มชาไม่ได้ การเติมนมก็มีประโยชน์ เพราะนมยับยั้งแทนนินไม่ให้ออกฤทธิ์กระตุ้นน้ำย่อยในกระเพราะอาหาร
  * การดื่มชาแทนอาหารเช้าจะทำให้ ร่างกายขาดสารอาหาร จึงควรเติมนมหรือน้ำตาลอาจเพิ่มเพิ่มคุณค่าได้บ้าง และควรกินอาหารชนิดอื่นร่วมด้วย
  * การดื่มชาในปริมาณที่เข้มข้นมากๆจะทำให้เกิดอาการท้องผูก และนอนไม่หลับ
  * ไม่ควรดื่มชาที่ร้อนจัดมากๆเพราะจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร ระคายเคืองต่อเซลล์ จะทำให้เกิดโรคมะเร็งสูง
  * การดื่มชาเขียวในปริมาณสูงอาจมีผลในการลดการดูดซึมวิตามิน B1 และ ธาตุเหล็กได้
  * ในกรณีที่ดื่มชาเพื่อต้องการเสริมสุขภาพและป้องกันมะเร็ง การเติมนมในชาก็ไม่ได้ผล เพราะฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเกิดจากสารแทนนิน แต่การเติมนมลงไปนมจะไปจับกับสารแทนนิน ไม่ให้ออกฤทธิ์
แม้จะมีการวิจัยต่างๆ มากมายที่ระบุว่าสาร EGCG[5]
 ในคาเทซินซึ่งมีอยู่ในชาจะสามารถลดอัตราการเกิดมะเร็งได้ถึง 50% แต่การทดลองบางแห่งหนึ่งก็พบว่าการ EGCG เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดมะเร็งในสัตว์อีกชนิดหนึ่ง เพราะความสลับซับซ้อนของเอมไซม์และฮอร์โมนของสัตว์ที่แตกต่างกัน ฉะนั้นการดื่มชาเพื่อสุขภาพที่แท้จริงจึงควรอยู่ในปริมาณที่พอเหมาะพอดี

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

ประวัติเปตอง

เปตอง – กรีซกีฬาประจำชาติ กำเนิดชนิดกีฬา กีฬา กีฬาประจำถิ่น กีฬาพื้นบ้าน กีฬาแต่ละชาติ
กีฬาเปตอง
กีฬาเปตองเป็นอีกหนึ่งชนิดกีฬาที่เรารู้จักกันดี และนิยมเล่นกันแพร่หลายทั่วทุกภาคของประเทศไทย เนื่องจากกีฬาเปตองได้แพร่หลายเข้าสู่ระบบการศึกษาของไทย จากการถูกเลือกให้เป็นกิจกรรมในสถานศึกษา ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชนได้เห็นว่ากิจกรรมเปตองเป็นกิจกรรมกีฬา ที่ส่งเสริมความสามัคคีและลดความเครียดจากภารกิจ หน้าที่การงานได้เป็นอย่างดี จึงทำให้กีฬาชนิดนี้ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
 
ประวัติกีฬาเปตองสากล
เปตองเป็นกีฬากลางแจ้งประเภทหนึ่งซึ่งมีมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ประวัติที่แน่นอนนั้นไม่มีการบันทึกไว้ แต่มีหลักฐานจากการเล่าสืบต่อ ๆ กันมาว่า กำเนิดขึ้นครั้งแรกในประเทศกรีซ เมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อนคริสตกาล โดยเก็บก้อนหินที่เป็นทรงกลมจากภูเขาและใต้ทะเลมาเล่นกัน ต่อมากีฬาเปตองได้แพร่หลายเข้ามาในทวีปยุโรป เมื่ออาณาจักรโรมันครองอำนาจและเข้ายึดครองดินแดนของชนชาวกรีกได้สำเร็จ ชาวโรมันได้ใช้กีฬาประเภทนี้เป็นเครื่องทดสอบกำลังข้อมือและกำลังกายของผู้ชายในสมัยนั้น
เมื่ออาณาจักรโรมันเข้ายึดครองดิน แดนชาวโกลหรือประเทศฝรั่งเศสในปัจจุบัน ชาวโรมันก็ได้นำเอาการเล่นลูกบูลประเภทนี้เข้าไปเผยแพร่ทางตอนใต้ของประเทศ ฝรั่งเศส การเล่นลูกบูลจึงได้พัฒนาขึ้นโดยเปลี่ยนมาใช้ไม้เนื้อแข็งถากเป็นรูปทรงกลม แล้วใช้ตะปูตอกรอบ ๆ เพื่อเพิ่มน้ำหนักของลูกให้เหมาะกับมือ
ในยุคกลาง การเล่นลูกบูลนี้เป็นที่นิยมเล่นกันแพร่หลายในประเทศฝรั่งเศส ในสมัยพระเจ้านโปเลียนมหาราชขึ้นครองอำนาจ พระองค์ได้ทรงประกาศให้การเล่นลูกบูลนี้เป็นกีฬาประจำชาติของฝรั่งเศส และเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้เล่นกัน การเล่นลูกบูลนี้จึงได้มีการพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดมา จนมีการตั้งชื่อเกมกีฬาประเภทนี้ขึ้นมาเล่นอย่างมากมายต่าง ๆ กัน เช่น บูลเบร-รอตรอง, บูลลิโยเน่ส์, บูลเจอร์ เดอร์ลอง และบลู-โปรวังซาล เป็นต้น
ในที่สุดก็ฝรั่งเศสได้มีการก่อตั้ง ”สหพันธ์ เปตองและโปรวังซาล” ขึ้นในปี พ.ศ. 2481 (ค.ศ. 1938) จากนั้นจำนวนสมาชิกก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ มีบุคคลทุกระดับชั้นทุกเพศ ทุกวัยเข้าเป็นสมาชิก ลูกบูลที่ใช้เล่นก็มีการคิดค้นทำเป็นลูกโลหะผสมเหล็กกล้า ข้างในกลวง การเล่นจึงมีความสนุกสนานเร้าใจยิ่งขึ้นกว่าเดิม หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 การเล่นกีฬาลูกบูล-โปรวังซาลที่ได้ดัดแปลงแก้ไขใหม่นี้ได้รับความนิยมเล่น มากขึ้น และได้แพร่หลายไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อย่างรวดเร็วทั่วประเทศฝรั่งเศส ตลอดจนถึงดินแดน อาณานิคมของฝรั่งเศสอีกด้วย
 การเล่นกีฬาลูกบูลนี้ได้แบ่งแยกการเล่นออกได้เป็น 3 ประเภทคือ
1. ลิโยเน่ล์
2. โปรวังชาล (วิ่ง 3 ก้าวแล้วโยน)
3. เปตอง (ที่นิยมเล่นในปัจจุบัน)

ตุ๊กตาแม่ลูกดก

ตุ๊กตาแม่ลูกดกชุดหนึ่ง เมื่อถอดออกมาทั้งหมด
*ตุ๊กตาแม่ลูกดก* หรือ *มาโตรชก้า* (รัสเซีย
: матрёшка;[mɐˈtrʲoʂkə]) เป็นตุ๊กตา
ของรัสเซีย
ที่เรียงซ้อน ๆ กันหลายตัว ชื่อนี้แผลงมาจากชื่อสตรีภาษารัสเซีย ว่า "มาตรีโยนา" หรืออาจจะถูกเรียกว่าตุ๊กตาคุณยาย
ตุ๊กตาแม่ลูกดกชุดหนึ่ง ประกอบด้วยตุ๊กตาไม้หลายตัวเรียงซ้อนกันอยู่ข้างใน แต่ละตัวประกอบด้วยสองส่วน คือส่วนบนและส่วนล่าง นำมาประกบกันได้สนิทตามร่องที่เซาะเอาไว้ ตุ๊กตาทุกตัวมีโพรงข้างใน เว้นแต่ตัวสุดท้ายซึ่งมีขนาดเล็กสุด จะเป็นตุ๊กตาเต็มตัว ตัน ชิ้นเดียว ตุ๊กตาแม่ลูกดกชุดหนึ่งจะมีตุ๊กตาซ้อนข้างในกี่ตัวก็ได้ ถ้ามีจำนวนมาก ตุ๊กตาตัวใหญ่สุดที่อยู่นอกสุดก็จะต้องมีขนาดใหญ่มากด้วย ตุ๊กตาทุกตัวจะมีรูปร่างเหมือนกันหมด คือ คล้ายกระบอก โป่งตรงกลาง ด้านบนโค้งมน ส่วนฐานเรียบ ไม่มีมือหรือส่วนใดยื่นออกมา แต่จะใช้สีวาดเป็นหน้าเป็นตาหรือขาทั้งหมด ให้ตุ๊กตาแต่ละตัวมีใบหน้าและเสื้อผ้าที่เหมือนกันด้วย ทั้งยังเคลือบเงาอย่างสวยงาม
หน้าตาของตุ๊กตาแม่ลูกดกนั้นเดิมนั้นทำเป็นหญิงชาวนา แต่งกายแบบดั้งเดิม มีผ้าคลุมศีรษะ แต่ในภายหลังมีการวาดตุ๊กตาเป็นรูปเทพธิดา นางฟ้า และบุคคลที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้นำของรัสเซีย เช่นเลนิน ปูติน หรือจะดาราระดับตำนานอย่างมาริลิน หรือนักร้องชื่อดังอย่างไมเคิล แจ็คสัน และมาดอนน่า ไม่เว้นแม้แต่คาแรคเตอร์ของตัวละครชื่อดังอย่างหมีพูห์ มิคกี้เมาส์

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

เผยภาพช็อคโลก! นักตกปลาชาวญี่ปุ่น ฆ่าหมู่ปลาโลมา

เผยภาพช็อคโลก! นักตกปลาชาวญี่ปุ่น ฆ่าหมู่ปลาโลมา

เผยภาพช็อคโลก! ชาวญี่ปุ่น ฆ่าหมู่ปลาโลมา
Mthai news: 8ก.พ.สื่อต่างประเทศมีการเปิดเผยภาพสุดทารุณ  เมื่อนักตกปลาชาวญี่ปุ่น ทำการฆ่าหมู่ปลาโลมานับร้อยตัว บริเวณทะเลในเมืองทาอิจิ ทางตะวันตกของญี่ปุ่น
เหตุอันน่าสะพรึงเช่นนี้ เกิดขึ้นเมื่อนักตกปลา ทำการฆ่าหมู่ปลาโลมาด้วยการใช้ผ้าใบกันน้ำปกปิดด้านบนไว้ แล้วสังการอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งการฆ่าหมู่ดังกล่าวเกิดขึ้นทุกปีในญี่ปุ่น แต่เมื่อผู้ที่พบเห็นต่างประณามการกระทำดังกล่าว
ภาพดังกล่าวถูกบันทึกโดยช่างภาพสารคดี The Cove เป็นสารคดีระดับรางวัลออสการ์ (best documentary Feature 2009)เสี่ยงตายเข้าไปถ่ายภาพจนชาวโลกได้เห็นการกระทำซึ่งไร้ซึ่งความเป็นมนุษย์

จะเห็นได้ว่านักตกปลา มีการต้อนปลาด้วยแผ่นพลาสติก แล้วใช้เรือต้อนให้เข้าไปอยู่ในช่องหน้าผาทะเล จากนั้นก็เริ่มกระหน่ำแทงมันเข้าที่กระดูกสันหลัง โดยที่โลมาไร้หนทางสู้ มันดิ้นรนด้วยความเจ็บปวด จนกระทั่งเลือดของพวกมันเปลี่ยนสีทะเลเป็นสีเลือด

ฝูงปลาโลมาจะถูกต้อนเข้ามาที่หาดเพื่อให้ เหล่าครูฝึกมา “คัดตัว” ไป และถูกส่งไปยังสวนน้ำทั่วโลก ส่วนปลาโลมาที่เหลือจะถูกต้อนไป “สังหารหมู่”

จากเอกสารของนักวิทยาศาสตร์ทางทะเลมีการเฝ้าระวัง และจดบันทึกข้อมูลสัตว์ดังกล่าว พบว่าพวกสูญหายไปจำนวนมาก นอกจากนี้ศูนย์อนุรักษ์พันธ์สัตว์นานาชาติซึ่งประกอบด้วย ออสเตรเลีย และสหรัฐ ได้มีการสำรวจพื้นที่แห่งนี้นานกว่า 5 เดือน ก็พบว่าพวกปลาโลมาถูกฆ่าโดยนักตกปลา
อย่างไรก็ตตาม ด้านทางญี่ปุ่นแย้งว่า การล่าปลาวาฬและโลมาเป็นวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมาแต่โบราณ แต่ยังมีข้อสงสัยจากเหล่าคนรักสัตว์ว่า เหตุใดจึงทำเช่นนั้น เพราะคนไม่นิยมทานเนื้อปลาโลมา อีกทั้งยังมีปริมาณปรอทสูงจนเป็นอันตรายต่อชีวิต แต่เหตุใดโลมาจึงถูกฆ่าตายทุกปี

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

แม่น้ำในประเทศฝรั่งเศส

แม่น้ำในประเทศฝรั่งเศส
*แม่น้ำแซน* (ฝรั่งเศส
: Seine, เสียงอ่านภาษาฝรั่งเศส: [sɛn]) เป็นแม่น้ำสายหลักทางตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส
 

ไฟล์:Pont Normandie panneau seine.jpeg

*แม่น้ำเมิซ* (อังกฤษ
: Meuse) หรือในเนเธอร์แลนด์เรียก *แม่น้ำมาส* (ดัตช์
: Maas) เป็นแม่น้ำ
สายใหญ่ในยุโรป
 อยู่ทางตะวันตกของทวีป ต้นน้ำอยู่ในจังหวัดโอต-มาร์น
ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศฝรั่งเศส
 ผ่านประเทศเบลเยียม
ทางด้านตะวันออก แล้วไหลเข้าไปในประเทศเนเธอร์แลนด์
ไปรวมกับแม่น้ำวาลที่เมืองกอร์คัม
 แล้วจึงไหลลงทะเลเหนือ
 รวมความยาว 925 กม. (575 ไมล์) ปากแม่น้ำเป็นชะวากทะเล
 เรียกว่า ฮอลันดส์ดีป
Locatiemaas2.GIF

แม่น้ำไรน์เป็นแม่น้ำ
ที่ยาวและสำคัญที่สุดในทวีปยุโรป
 ยาวทั้งสิ้น 1,230 กิโลเมตร มีต้นน้ำจากเทือกเขาแอลป์
 ไหลผ่านประเทศอิตาลี
, สวิตเซอร์แลนด์
, ลิกเตนสไตน์
, ออสเตรีย
, เยอรมนี
,ฝรั่งเศส
, ลักเซมเบิร์ก
, เบลเยี่ยม
, และเนเธอร์แลนด์
 ไปออกที่ทะเลเหนือ
แม่น้ำไรน์เป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งทางน้ำที่สำคัญ สามารถขนสินค้าเข้าสู่ภายในแผ่นดินยุโรปได้อย่างสะดวก อีกทั้งยังมีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์
และภูมิศาสตร์
ในการเป็นเส้นแบ่งเขตแดนที่สำคัญของยุโรป

   

*แม่น้ำโรน* (อังกฤษ
: Rhone river) เป็นแม่น้ำที่ไหลผ่านประเทศสวิตเซอร์แลนด์
ไปยังทางมุมตะวันออกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส
โดยมีต้นแม่น้ำอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ที่ไหลมาจากสวิตเซอร์แลนด์ไปยังปากแม่น้ำที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
 แม่น้ำโรนมีความยาวทั้งสิ้น 813 กิโลเมตร แม่น้ำแยกออกเป็นสองแคว คือ "โรนใหญ่" (Grand Rhône) และ "โรนเล็ก" (Petit Rhône)
ไฟล์:Leman img 0573.jpg

สมาพันธรัฐสวิส

สมาพันธรัฐสวิสConfoederatio Helvetica (ละติน)
Confédération Suisse (ฝรั่งเศส)
Schweizerischen Eidgenossenschaft(เยอรมัน)
Confederazione Svizzera (อิตาลี)

*คำขวัญ
: *"Unus pro omnibus, omnes pro uno"[1]
 (ละติน)
("หนึ่งเดียวเพื่อทุกสิ่ง ทุกสิ่งเพื่อหนึ่งเดียว")
*เพลงชาติ
: *Swiss Psalm

*เมืองหลวง
*เบิร์น

เมืองใหญ่สุดซูริก

ภาษาทางการ
ภาษาฝรั่งเศส
 ภาษาเยอรมัน
 ภาษาอิตาลี
และภาษาโรมานช์[2]

การปกครอง
ประชาธิปไตยทางตรง

สหพันธ์สาธารณรัฐ

 - สภาสหพันธ์อือลี เมาเรอร์ (ประธานาธิบดี)
ดีดีเย บูร์คฮัลเทอร์
โดริส ลอยทาร์ด
เอเวอลีน วิดเมอร์-ชลุมพฟ์
ซีโมเนตตา ซอมมารูกา
โยฮันน์ ชไนเดอร์-อัมมันน์
อาแล็ง แบร์แซ
เอกราช
กฎบัตรสหพันธ์ 
 - ประกาศ1 สิงหาคม ค.ศ. 1291 
 - เป็นที่ยอมรับ24 ตุลาคม ค.ศ. 1648 
 - รัฐสหพันธ์12 กันยายน ค.ศ. 1848 
พื้นที่

 - รวม41,285 ตร.กม. (132)
15,940 ตร.ไมล์
 
 - แหล่งน้ำ (%)
4.2 %ประชากร

 - ก.ย. 2551 (ประเมิน)7,581,520 (95)
 - ความหนาแน่น
176 คน/ตร.กม. (61)
472 คน/ตร.ไมล์
*จีดีพี
* (อำนาจซื้อ
)2005 (ประมาณ)
 - รวม264.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
 (37)
 - ต่อหัว
35,300 ดอลลาร์สหรัฐ (10)
*จีดีพี
* (ราคาตลาด)2546 (ประมาณ)
 - รวม309 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (17)
 - ต่อหัว
50,524 ดอลลาร์สหรัฐ (4)
*HDI
* (2550)0.955 (สูง) (7)
สกุลเงิน
ฟรังก์สวิส
 (CHF)
เขตเวลา
CET (UTC+1)
 - (DST)CEST (UTC+2)
โดเมนบนสุด.ch
รหัสโทรศัพท์
41
*สวิตเซอร์แลนด์* (อังกฤษ
: Switzerland; เยอรมัน
:die Schweiz; ฝรั่งเศส
: la Suisse; อิตาลี
:Svizzera; โรมานช์: Svizra) มีชื่อทางการว่า *สมาพันธรัฐสวิส* (อังกฤษ
: Swiss Confederation; ละติน
:Confoederatio Helvetica) เป็นประเทศขนาดเล็กที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล
 และตั้งอยู่ในทวีปยุโรปตะวันตก
 โดยมีพรมแดนติดกับประเทศเยอรมนี
 ประเทศฝรั่งเศส
 ประเทศอิตาลี
 ประเทศออสเตรีย
 และประเทศลิกเตนสไตน์
นอกจากจะมีความเป็นกลางทางการเมืองแล้ว สวิตเซอร์แลนด์นับว่ามีการร่วมมือกันระหว่างประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งขององค์กรนานาชาติหลายแห่ง

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

สะพานกุญแจแห่งรัก

Pont des Arts เป็นสะพานที่เชื่อมสองฝั่งแม่น้ำเซน ปารีส ช่วง Musée du Louvre และ Institut de France
สะพาน Pont des Arts เป็นสะพานแห่งแรกในกรุงปารีสที่มีโครงสร้างทำด้วยเหล็ก สร้างในสมัยจักรพรรดิ์นโปเลียน ในปี ค.ศ.1802 ได้นำแบบอย่างมาจากประเทศอังกฤษ
มุมมองด้านพิพิธภัณฑ์ลูฟร์ (Musée du Louvre) ถึงแม้โครงสร้างของสะพานจะเป็นเหล็ก แต่ออกแบบได้สวยงามไม่เทอะทะ มีความโปร่ง เส้นโค้งของโครงสร้างมีจังหวะจะโคนสวยงาม
และอีกฝั่งหนึ่งด้าน Institut de France เสียดายเป็นเวลาบ่ายคล้อยแล้ว

สะพานแห่งนี้เคยชำรุดเนื่องจากกาลเวลาและถูกระเบิดเสียหายในสมัยสงครามโลกทั้งสอง จึงได้ปรับปรุงใหม่เมื่อประมาณปี ค.ศ. 1981 ดังที่เห็นในปัจจุบัน พื้นของสะพานเป็นไม้ เวลาเดินผ่านได้ยินเสียงขยับตัวของพื้นไม้ ทำให้ได้ความรู้สึกอีกแบบหนึ่ง
กุญแจส่วนใหญ่จะมีชื่อคู่รักเขียนหรือสลักติดไว้
นอกจากชื่อแล้วก็ยังมีข้อความหรือสัญลักษณ์ต่างๆ และที่น่าสนใจก็คือรูปแบบที่หลากหลายของของกุญแจ มีทั้งใหม่เอี่ยมและเก่าจนสนิมเขรอะ
มีความเชื่อกันว่าเมื่อคู่รักคู่ใดได้มาอฐิษฐานความรัก พร้อมกับคล้องกุญแจไว้ที่สะพานแห่งความรักนี้แล้ว ความรักของทั้งสองจะอยู่ยั้งยืนยงชนิดที่ว่าไม่มีอะไรที่จะพรากได้ เพราะลูกกุญแจได้โยนทิ่งน้ำไปหลังจากล้อคเรียบร้อยแล้ว
แสงอาทิตย์ยามบ่ายส่องกระทบกุญแจ ดูเหมือนประกายแห่งความรักจะเปล่งแสงระยิบระยับ ผมชอบกุญแจสีแดงที่มีห่วงด้านซ้ายของภาพ ออกแบบได้น่ารักร้อนแรงดี
หากคู่รักคู่ใดลืมพกกุญแจมาจากบ้านก็สามารถหาได้บนสะพานแห่งนี้ครับ เช่นจากแผงของหนุ่มพั้งค์คนนี้ (ผมกับครูดารินทร์กะว่าจะเสียสละกุญแจกระเป๋าเดินทางเอามาคล้องเหมือนกันแต่ดันลืม)
เขามาพร้อมกับพร้อมกับสุนัขคู่ใจ ครูดารินทร์เห็นน้องหมาที่ไหนเป็นไม่ได้เข้าไปทักทายทุกครั้ง โดยเฉพาะตัวนี้หน้าตาคล้ายอเมริกันพิทบูลตัวที่บ้าน แถมนิสัยใจดีเหมือนกันอีก เลยคุยถูกคอกันเป็นพิเศษ
นอกจากมีกุญแจแบบต่าง ๆ ให้เลือกทั้งแบบรหัสตัวเลขและแบบมีลูกแล้ว ก็ยังมีปากกาสำหรับเขียนชื่อเป็นอ้อปชั่นด้วย ผมชอบข้อความและตัวหนังสือที่เขาเขียน ซึ่งเขียนด้วยมือ ตัวบรรจงเป็นระเบียบสวยงาม ดูแล้วมีเสน่ห์เล็ก ๆ เข้ากับการจัดวางสินค้าที่เป็นระเบียบเรียบร้อย

วันพฤหัสบดีที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2557

ประวัติและที่มาของชื่อ Mona lisa

*โมนาลิซา* (อังกฤษ
: Mona Lisa) หรือ *ลาโชกงด์*(ฝรั่งเศส
: La Gioconda, La Joconde) คือภาพวาดสีน้ำมัน สูง 77 เซนติเมตร กว้าง 53 เซนติเมตร วาดโดยเลโอนาร์โด ดา วินชี
 ในคริสต์ศตวรรษที่ 16
 ระหว่างพ.ศ. 2046
 (ค.ศ. 1503) ถึงปี พ.ศ. 2050
 (ค.ศ. 1507) เป็นภาพที่ทั่วโลกรู้จักกันดีภาพหนึ่ง ในฐานะสุภาพสตรีที่มี รอยยิ้มอันเป็นปริศนา ที่ไม่รู้ว่าเธอจะยิ้ม หัวเราะ หรือร้องไห้กันแน่ ปัจจุบันอยู่ในความครอบครองของรัฐบาลฝรั่งเศส และเก็บรักษาอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ กรุงปารีส
 ประเทศฝรั่งเศส
ที่มาของชื่อEdit

คำว่า "" นั้น ได้ถูกตั้งขึ้นโดย จอร์โจ วารี (Giorgio Varied) ศิลปิน และนักชีวประวัติชาวอิตาลี
 หลังจากดา วินชีได้เสียชีวิตไป 31 ปี ในหนังสือที่เขาตีพิมพ์นั้นได้บอกไว้ว่าผู้ที่นั่งอยู่ในรูปนั้นคือ ลีซา เกอราร์ดีนี ภรรยาของขุนนางนักธุรกิจไหมผู้มั่งคั่ง ชาวเมืองฟลอเรนซ์
นามว่า ฟรานเชสโก เดล โจกอนโด (Francesco del Giocondo)
คำว่า โมนา" (Mona) ในภาษาอิตาลี
นั้นก็คือคำว่า มาดอนนา (madonna) คุณผู้หญิง (my lady) หรือ มาดาม (Madam) ในภาษาอังกฤษ
 ดังนั้นความหมายของชื่อนั้นก็คือ "มาดาม ลิซา" แต่ในปัจจุบัน บางครั้งก็จะใช้คำว่า มอนนา ลิซา (Monna Lisa)
ได้พบว่าโมนาลิซาเป็น ในปี ค.ศ. 1516 (พ.ศ. 2059
) ดา วินชีได้นำภาพจากของตัวเองไปที่[ราชา]] ด้วยพระราชประสงค์ของพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1 ที่ทรงปรารถนาที่จะให้ศิลปินทั้งหลายมารวมตัวทำงานกันที่ Clos Lucé ใกล้กับปราสาท
ในเมืองอัมบัวส์ และยังทรงให้ ดา วินชี วาดพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์อีกด้วย หลังจากนั้นพระองค์ก็ทรงซื้อภาพโมนาลิซ่า ในราคา 4,000 เหรียญ
ในปี ค.ศ. 1519 (พ.ศ. 2062
) ดา วินชี ได้เสียชีวิตที่เมืองอัมบัวส์ ประเทศฝรั่งเศส รวมอายุได้ 67 ปี
รูปนมของมาดามลิซ่า
ตอนที่ ดา วินชี เสียชีวิตแล้วได้ยกสมบัติและภาพวาดทั้งหมดให้เป็นมรดกของผู้ติดตามของเขา ฟรานเซสโก เมลซิ (Francesco melci) และเมื่อฟรานเซสโก เมลซิ เสียชีวิตลงก็ไม่ได้ยกมรดกให้ใคร มรดกก็เริ่มกระจัดกระจาย
และต่อมาภาพโมนาลิซ่าถูกนำไปเก็บไว้ที่ พระราชวังฟงเตนโบล ต่อมาก็ในพระราชวังแวร์ซาย
 หลังจากสิ้นสุดการปฏิวัติฝรั่งเศส
 ก็ถูกไปนำเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์
ในห้องสรงของพระเจ้านโปเลียนที่ 1
 ในพระราชวังตุยเลอรี แล้วในที่สุดก็ได้กลับมาที่พิพิธภัณฑ์
เหมือนเดิม
ห้องแสดงในพิพิธภัณฑ์
ในช่วงสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย
 ระหว่างปี พ.ศ. 2413
- 2414
 ภาพได้ถูกนำออกจากพิพิธภัณฑ์ ไปซ่อนไว้ในที่ลับในประเทศฝรั่งเศส

เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม
 พ.ศ. 2454
 (ค.ศ. 1911) ภาพโมนาลิซ่าถูกโจรกรรมออกจากพิพิธภัณฑ์ ซึ่งกว่าจะค้นพบเธอก็ได้ใช้เวลาไปถึง 2 ปี ซึ่งได้พบในเมืองฟลอเรนซ์
ประเทศอิตาลี
 ปัจจุบันเธอถูกดูแลรักษาอย่างดี ในตู้กระจกปรับอากาศกันกระสุน พิพิธภัณฑ์เป็ดอัน เป็นเครื่องหมายสากลว่า โมนา ลิซา จะไม่มีวันที่จะได้เคลื่อนย้ายไปแสดงที่ไหนอีกเป็นเด็ดขาด