วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
วิธีทำบาเก็ตต์ (Quick Baguette)
บาเก็ตต์ (Quick Baguette)
ส่วนผสม ก.
- แป้งขนมปัง 100 กรัม
- ยีสต์สด 15 กรัม (ยีสต์แห้ง 5 กรัม)
- น้ำอุ่น 100 กรัม
ใส่ยีสต์ในน้ำอุ่นแล้วคนให้ยีสต์ละลายหมด ใส่แป้งในชามผสมใบใหญ่ เทน้ำที่ละลายยีสต์ไว้ลงไป ใช้เครื่องตีหัวเกลียวคนๆ ให้แป้งเข้ากับน้ำก่อนนวดความเร็วสูงประมาณ 1 นาที ใช้ผ้าคลุมอ่างพักไว้ 30 นาทีค่ะ
ส่วนผสม ข.
- แป้งขนมปัง 200 กรัม
- น้ำอุ่น 50 กรัม
- วิปปิ้งครีม/เฮฟวี่ครีม 30 กรัม
- น้ำตาลทราย 10 กรัม
- เกลือป่น 6 กรัม
เมื่อพักแป้ง ก. ครบเวลาแล้วก็ใส่ส่วนผสม ข. ทั้งหมดในอ่างแป้งที่นวดไว้ จัดการนวดส่วนผสมทุกอย่างรวมกันจนแป้งเนียนมือ และหลุดจากขอบอ่างอย่างง่ายดาย เสร็จแล้วก็รวบแป้งเป็นก้อนกลม คลุมผ้าพักไว้ในที่อุ่น 30 นาที เมื่อครบเวลาแล้วก็นำมาคลึงไล่ลมให้ทั่วก่อนรวบเป็นก้อนกลม พักต่ออีก 30 นาทีค่ะ
เ
มื่อพักแป้งรอบที่สองครบ 30 นาทีแล้วก็แบ่งแป้งเป็นสองก้อนโดยไม่ต้องคลึงไล่ลม นำแป้งมาแผ่นเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พับหัวท้ายเข้าหากัน ใช้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองข้างกดตรงกลางให้แน่นแล้วพับทบกันอีกที บีบริมแป้งให้ติดกันดีแล้วจับคว่ำนำด้านรอยต่อไว้ด้านล่าง พักไว้ประมาณ 20 นาทีเพื่อให้แป้งยืดหยุ่นดีค่ะ
เมื่อครบ 20 นาทีแล้วก็นำแป้งมาแผ่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า พับหัวท้าย แล้วทบกันอีกครั้ง คลึงให้ได้ความยาวที่ต้องการแล้ววางโดว์บนพิมพ์บาเก็ตต์หรือหากไม่มีพิมพ์ก็วางบนถาดอบที่มีรูหรือถาดอบธรรมดาที่ทาเนยบางๆ ก็ได้ค่ะ (หากต้องการดูภาพวิธีทำที่ชัดเจนรบกวนคลิกที่ภาพนะคะ พอดีเราลืมฝากรูปไว้ที่โฮสต์ โหลดจากบล็อกแทนเลย รูปหน้าบล็อกจึงไม่ค่อยชัดค่ะ)
เมื่อวางแป้งบนพิมพ์แล้ว ใช้ผ้าคลุมไว้กันลม พักให้ขึ้นอีก 30-45 นาทีหรือจนกว่าแป้งจะขึ้นประมาณเท่าครึ่ง จากนั้นก็อุ่นเตาอบไว้ที่ 250 องศาเซลเซียส ระหว่างอุ่นเตาอบก็หามีดคมๆ มากรีดแป้งเป็น 4 รอย เสร็จแล้วก็ใช้แปรงนุ่มๆ จุ่มน้ำทาผิวโดว์ให้ทั่ว หรือใช้สเปรย์ฉีดน้ำทั่วๆ โดว์แทนก็ได้ค่ะ
ระหว่างนั้นก็ต้มน้ำประมาณ 250 มล. ให้เดือด เมื่อเตาอบร้อนได้ที่ก็นำถาดอบเข้าวางบนชั้นกลางของเตาอบ เทน้ำร้อนใส่ชามทนไฟวางไว้บนพื้นเตาอบแล้วฝาเตาอบทันที อบไฟ 250 องศาเซลเซียสประมาณ 8 นาที แล้วลดไฟเหลือ 190 องศาเซลเซียส อบต่ออีก 20 นาทีจนขนมสุกมีสีเหลืองทองค่ะ
เมื่อบาเก็ตต์สุกดีแล้วก็นำแปรงชุบน้ำทาผิวบาเก็ตต์ให้ทั่วเพื่อความเงางามก่อนนำถาดอบออกจากเตาอบค่ะ จากนั้นวางขนมไว้บนตะแกรงพักให้เย็น ถึงตอนนี้ก็ได้เวลาอร่อยของเราแล้วค่ะ ใครจะทำเป็นแซนด์วิช จะกินคู่กับไส้กรอก ชีส ซาลามี่ จะดัดแปลงเป็นขนมปังพิซซ่า หรือขนมปังกระเทียมก็ตามสะดวกเลยค่ะ
ใหม่ที่อบเมื่อวานค่ะ หน้าแตกมากขึ้นกว่าครั้งแรกแต่ก็ยังไม่กระจุยกระจายอย่างที่ต้องการ รูปไม่ควรสวยเพราะถ่ายตอนแสงหมดแล้ว ต้องพึ่งแสงไฟนีออนสีก็เลยแปร๋นอย่างที่เห็น พยายามปรับยังไงก็ไม่สำเร็จค่ะ ไว้ถ้าได้ทำใหม่อีกรอบจะเอารูปมาเปลี่ยนนะคะ
8 สิ่งที่น่ารู้เกี่ยวกับประเทศฝรั่งเศส
ฝรั่งเศสไม่นิยมการให้ทิป
ถ้าน้องๆ คนไหนที่คิดจะไปเรียนที่ฝรั่งเศสและทำงานพิเศษโดยหวังจะได้ทิปเยอะๆ นั้น ขอบอกว่าเป็นเรื่องยากเลยค่ะ เพราะที่ฝรั่งเศสเค้าไม่นิยมให้ทิปกัน (บางคนมองว่าเป็นเรื่องแปลกด้วยซ้ำ) ค่าบริการต่างๆ ถูกรวมไว้ในบิลแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องให้ทิปเพิ่ม แต่ถ้าพนักงานบริการดีมากๆๆๆๆๆ อาจจะได้ทิปเล็กๆ น้อยๆ ซัก 1-2 ยูโรก็ได้
ต้นกำเนิดของเครป
"เครป" เป็นของหวาน (หรือคาว?) เมนูโปรดของน้องๆ หลายคน แต่รู้มั้ยว่า ต้นกำเนิดที่แท้จริงของเครปเกิดที่ฝรั่งเศสนี่แหละค่ะ หลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่าเครปมีต้นกำเนิดที่ญี่ปุ่น เพราะตามร้านต่างๆ มักติดป้ายว่า "เครปญี่ปุ่น" 5555 โดยเมืองที่เป็นต้นกำเนิดแบบอิริจินัลแท้ๆ อยู่ที่แคว้นชื่อ"Bretagne" เป็นแคว้นทางตะวันตกเฉียงเหนือของฝรั่งเศส โดยในอดีตนั้น คนฝรั่งเศสจะนิยมทานเครปกับน้ำผลไม้ค่ะ แต่ปัจจุบันนิยมทานกับผลไม้สดไม่ก็ช็อกโกแล็ต
ร้านขายยาที่ขาย "ยา"
ถ้าให้ลองนึกภาพร้านขายยาในปัจจุบัน นอกจากจะขายยาแล้ว แทบทุกร้านก็ยังมีขายเครื่องดื่ม หรือบางร้านใหญ่ๆ ก็มีเครื่องสำอาง มาสคาร่า หรือของใช้อื่นๆ ทิชชู่ หวี กระจก สารพัดจะหามาขาย แต่ร้านขายยาในฝรั่งเศสนั้นจะขายเฉพาะ "ยา" เท่านั้นค่ะ ซึ่งร้านขายยานั้นสามารถหาได้ง่ายตามมุมถนนทั่วไป เพราะคนฝรั่งเศสเค้าจริงจังเรื่องสุขภาพและการใช้ยามากกกก เคยมีการสำรวจพบว่า คนฝรั่งเศสเป็นชาติที่เสียเงินใช้จ่ายในการซื้อยามากที่สุดในยุโรป
จริงจังเรื่องสุขภาพ
องค์การอนามัยโลก (WHO) เคยจัดอันดับให้ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีระบบดูแลสุขภาพประชาชนที่เยี่ยมที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง โดยวัดได้จากการที่ฝรั่งเศสมีอัตราผู้เสียชีวิตจากโรคร้ายที่ต่ำมาก สาเหตุก็มาจากว่า ทุกคนมีประกันสุขภาพ และประกันสุขภาพนี้จะจ่ายทดแทนให้ได้หมดแทบไม่มีข้อยกเว้น ป่วยเมื่อไหร่ประกันจ่ายให้หมด 100% หรือแม้แต่ชาวต่างชาติที่เข้าไปในอาศัยในประเทศฝรั่งเศสก็ต้องมีประกันสุขภาพด้วยเช่นกัน โดยราคาของประกันสุขภาพอยู่ที่ประมาณ 200-500 ยูโรหรือประมาณ 8,000-20,000 บาทต่อปีค่ะ
จำนวนนักท่องเที่ยว
ประเทศฝรั่งเศสมีประชากรจำนวน 64 ล้านคนซึ่งไม่แตกต่างจากประเทศไทยบ้านเรานัก แต่!!!!!! ประเทศฝรั่งเศสมีนักท่องเที่ยวมาเยือนปีละ 70 กว่าล้านคน ถือว่ามากกว่าจำนวนพลเมืองในประเทศด้วยซ้ำ สุดยอดเลยเนาะ นอกจากนี้ ยังถือเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวไปเยือนมากที่สุดของปี 2011 (ใน 10 อันดับมีเอเชีย 3 ประเทศคือ จีน ตุรกี และมาเลเซีย)
ภาษีโทรทัศน์
น่าแปลกดีเหมือนกันที่ใครมีโทรทัศน์ ต้องเสียภาษีโทรทัศน์ด้วย!! โดยตกประมาณ 200 ยูโรหรือ 8,000 บาทต่อปี ภาษีเหล่านี้ทางรัฐบาลจะนำไปปรับปรุงรายการโทรทัศน์ให้มีคุณภาพมากขึ้น และที่สำคัญคือมีโฆษณาคั่นรายการน้อยมากกกกค่ะ เพราะรัฐบาลฝรั่งเศสไม่ต้องการให้ประชาชนถูกโฆษณาเหล่านั้นมอมเมา (พูดง่ายๆ คือปกติรายการทีวีต้องมีโฆษณาเข้า ถึงจะมีรายได้ แต่รายการทีวีของฝรั่งเศสไม่มีรายได้จากโฆษณา เลยต้องเก็บเป็นภาษีแทน) แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่ฝรั่งเศสนะคะที่มีการเก็บภาษีโทรทัศน์ เพราะประเทศอื่นๆ ในยุโรป เช่น เยอรมัน เดนมาร์ค ออสเตรีย เค้าก็มีเก็บเหมือนกันแถมแพงกว่าที่ฝรั่งเศสด้วย
ลูกค้าไม่ใช่พระเจ้า
เราคงคุ้นเคยกับประโยคที่ว่า The customer is always right. คือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ยังไงลูกค้าก็คือพระเจ้าและถูกอยู่เสมอ แต่ไม่ใช่ที่ฝรั่งเศสค่ะ ! ว่ากันว่าวิถีการให้บริการของคนที่นั่นค่อนข้างแข็งๆ ทื่อๆ ไม่ค่อยแคร์ลูกค้า เคยมีคนกล่าวไว้ว่า เวลาเปิดร้านค้าในฝรั่งเศสขึ้นอยู่กับอารมณ์คนขาย ไม่ได้จะแคร์ลูกค้า 555
เจ้าแห่งรางวัลโนเบล
ชาวฝรั่งเศสเป็นชาติที่โรแมนติก ดังนั้นที่นี่จึงเป็นบ้านเกิดของกวีและนักเขียนชื่อดังมากมาย ที่สำคัญ ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ได้รับรางวัลโนเบลในสาขาวรรณกรรมมากที่สุดของโลกด้วยค่ะ โดยนักเขียนที่เคยได้รับรางวัลนี้ก็เช่น J. M. G. Le Clézio หรือ ฌ็อง มารี กุสตาฟว์ เลอ เกลซีโย เป็นนักเขียนและนักเดินทางรอบโลกชาวฝรั่งเศส มีผลงานเขียนกว่า 40 เรื่อง จนได้รับรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมเมื่อปี 2008 ที่ผ่านมาค่ะ
วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2556
10 ภาษาที่เรียนรู้ยากที่สุดในโลก
อันดับที่ 10 Swahili
ภาษา สวาฮีลี (หรือ คิสวาฮีลี) เป็นภาษากลุ่มแบนตูที่พูดอย่างกว้างขวางในแอฟริกาตะวันออก ไม่ว่าจะเป็น แทนซาเนีย เคนยา ยูกันดา รวันดา บุรุนดี คองโก-กินชาซา โซมาเลีย คอโมโรส (รวมมายอต) โมซัมบิก และมาลาวี ภาษาสวาฮีลีเป็นภาษาแม่ของ ชาวสวาฮีลี ซึ่งอาศัยอยู่แถบชายฝั่งของแอฟริกาตะวันออกระหว่างประเทศโซมาเลียตอนใต้ ประเทศโมแซมบิกตอนเหนือ มีคนพูดเป็นภาษาแม่ประมาณ 5 ล้านคนและคนพูดเป็นภาษาที่สองประมาณ 30-50 ล้านคน ภาษาสวาฮีลีได้กลายเป็นภาษาที่ใช้โดยทั่วไปในแอฟริกาตะวันออกและพื้นที่รอบ ๆ ว่ากันว่า การเรียนภาษาสวาฮิลีเป็นสิ่งท้าทายที่สุด
อันดับที่ 9 English
ภาษา อังกฤษ เป็นภาษาตระกูลเจอร์เมนิกตะวันตก มีต้นตระกูลมาจากอังกฤษ เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแรกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ภาษาอังกฤษถือเป็นภาษากลาง (lingua franca) เนื่อง จากอิทธิพลทางทหาร เศรษฐกิจ วิทยาศาสตร์ การเมือง และวัฒนธรรมของสหราชอาณาจักรและสหรัฐอเมริกา จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่นักศึกษาทุกคนจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะว่าภาษาอังกฤษนั้นได้เข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งต่อผู้คนในหลากหลายอาชีพ ซึ่งบางอาชีพต้องการผู้ที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาอังกฤษมาช่วยประสานงาน ทำให้งานทุกอย่างนั้นง่ายราบรื่นและสำเร็จลงไปได้ด้วยดี สาเหตุที่ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากโดยรวมเนื่องจาก เป็นภาษาที่ใช้อักษรละตินเป็นอักษรหลักในการเขียน และการสะกดคำหลายคำจะไม่ตรงกับการอ่านออกเสียง ซึ่งทำให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ยากภาษาหนึ่งในการเรียน
อันดับที่ 8 Korean
ภาษา เกาหลี เป็นภาษาที่ส่วนใหญ่พูดใน ประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เป็นภาษาราชการ และมีคนชนเผ่าเกาหลีที่อาศัยอยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนพูดโดยทั่วไป(ใน จังหวัดเหยียนเปียน มณฑลจื๋อหลิน ซึ่งมีพรมแดนติดกับเกาหลี) ทั่วโลกมีคนพูดภาษาเกาหลี 78 ล้านคน รวมถึงกลุ่มคนในอดีตสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา แคนาดา บราซิล ญี่ปุ่น และเมื่อเร็วๆ นี้ก็มีผู้พูดใน ฟิลิปปินส์ ด้วย การจัดตระกูลของภาษาเกาหลีไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป แต่คนส่วนมากมักจะถือเป็นภาษาเอกเทศ นักภาษาศาสตร์บางคนได้จัดกลุ่มให้อยู่ใน ภาษาตระกูลอัลไตอิกด้วย ทั้งนี้เนื่องจากภาษาเกาหลีมีวจีวิภาคแบบภาษาคำติดต่อ ส่วนวากยสัมพันธ์หรือโครงสร้างประโยคนั้น เป็นแบบประธาน-กรรม-กริยา (SOV) แม้ว่าภาษาเกาหลีจะมีตัวอักษร กับสระเพียงไม่กี่ตัวที่ต้องจำ(อักษร 19 + สระ 21) หากแต่ว่าไวยกรณ์ของเกาหลียากมาก ต้องจำกฎสารพัด กว่าจะเข้าใจและสามารถเขียนและอ่านได้
อันดับที่ 7 German
อันดับที่ 7 German
ภาษาเยอรมัน หรือด๊อยช์ เป็นภาษากลุ่มเจอร์เมนิกด้านตะวันตก และเป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุดในสหภาพยุโรป ส่วนใหญ่พูดในประเทศเยอรมนี ออสเตรีย ลิกเตนสไตน์ ส่วนมากของสวิตเซอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก แคว้นปกครองตนเองเตรนตีโน-อัลโตอาดีเจในอิตาลี แคว้นทางตะวันออกของเบลเยียม บางส่วนของโรมาเนีย แคว้นอัลซาซและบางส่วนของแคว้นลอร์แรนใน ฝรั่งเศส นอกจากนี้ อาณานิคมเดิมของประเทศเหล่านี้ เช่น นามิเบีย มีประชากรที่พูดภาษาเยอรมันได้พอประมาณ และยังมีชนกลุ่มน้อยที่พูดภาษาเยอรมันในหลายประเทศทางยุโรปตะวันออก เช่น รัสเซีย ฮังการี และสโลวีเนีย รวมถึงอเมริกาเหนือ (โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา) รวมถึงบางประเทศในละตินอเมริกา เช่น อาร์เจนตินา และในบราซิล ภาษาเยอรมัน จะว่ายาก..มันก็ยาก เพราะมีการแบ่งเพศในคำนามสิ่งของที่มีอยู่ในโลกนี้ 3 เพศ เช่น เวลา หรือ นาฬิกา นั้นเป็นเพศหญิง เครื่องดื่มที่เป็นแอลกฮอลล์ทุกชนิด ยกเว้นเบียร์ ถือว่าเป็นเพศกลาง เป็นต้น(มันคิดได้ไงว่ะเนี้ย) นอกจากนี้ยังยากตรงไวยากรณ์ เพราะมีข้อยกเว้นมาก และยากที่จะพูดให้คล่องโดยถูกหลักไวยากรณ์ เพราะคำกริยาบางทีก็อยู่ข้างหลังประโยค นอกจากนี้คำกริยาและคุณศัพท์ยังต้องผันตามเพศของคำนามอีก
อันดับที่ 6 Russian
อันดับที่ 6 Russian
ภาษา รัสเซีย เป็นภาษากลุ่มสลาวิกที่ใช้เป็นภาษาพูดอย่างกว้างขวางที่สุด ภาษารัสเซียจัดอยู่ในกลุ่มอินโด-ยูโรเปียน ดังนั้นจึงมีความสัมพันธ์กับภาษาสันสกฤต ภาษากรีก และภาษาละติน รวมไปถึงภาษาในกลุ่มเจอร์เมนิก โรมานซ์ และเคลติก (หรือเซลติก) ยุคใหม่ ตัวอย่างของภาษาทั้งสามกลุ่มนี้ได้แก่ภาษาอังกฤษ ภาษาฝรั่งเศส และภาษาไอริชตามลำดับ ส่วนภาษาเขียนนั้นมีหลักฐานยืนยันปรากฏอยู่เริ่มจากคริสต์ศตวรรษที่ 10ในปัจจุบัน ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีการใช้นอกประเทศรัสเซียด้วย มีเอกสารทางวิทยาศาสตร์จำนวนหนึ่งตีพิมพ์เป็นภาษารัสเซีย รวมทั้งความรู้ในระดับมหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่ง ภาษารัสเซียเป็นภาษาที่มีความสำคัญทางการเมืองในยุคที่สหภาพโซเวียตเรือง อำนาจและยังเป็นภาษาราชการภาษาหนึ่งของสหประชาชาติ และเป็นหนึ่งในภาษาที่ยากต่อการทำความเข้าใจ สับสน วุ่นวาย ไม่ว่าจะเป็นเขียนหรือการอ่านออกเสียง
อันดับที่ 5 Japanese
อันดับที่ 5 Japanese
ภาษา ญี่ปุ่น เป็นภาษาทางการ ของประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกราว 130 ล้านคน นอกเหนือจากประเทศญี่ปุ่นแล้ว รัฐอังกาอูร์ สาธารณรัฐปาเลา ได้กำหนดให้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาทางการภาษาหนึ่ง นอกจากนี้ภาษาญี่ปุ่นยังถูกใช้ในหมู่ชาวญี่ปุ่นที่ย้ายไปอยู่นอกประเทศ นักวิจัยญี่ปุ่น และนักธุรกิจต่าง ๆ คำภาษาญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลมาจากภาษาต่างประเทศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะภาษาจีน ที่ได้นำมาเผยแพร่มาในประเทศญี่ปุ่นเมื่อกว่า 1,500 ปีที่แล้ว และตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ก็ได้มีการยืมคำจากภาษาต่างประเทศที่ไม่ใช่ภาษาจีนมาใช้อีกเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะภาษากลุ่มอินโด-ยูโรเปียน เช่นคำที่มาจากภาษาดัตช์ สาเหตุที่ภาษานี้มีความยากจนเรียกได้ว่าถึงขั้นพิสดารอันเนื่องมาจากคน ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีพิธีรีตองมาก ดังนั้นคำภาษาญี่ปุ่นจึงอักษรถึง3แบบ แบ่งคำศัพท์สำหรับใช้กับเพื่อน คนในครอบครัว อาจารย์เป็นต้น บางตัวไม่สามารถอธิบายได้ต้องจำเอาเอง ถือว่าเป็นภาษาที่ละเอียดอ่อนและมีความซับซ้อน ยิ่งเป็นอักษรคันจิยิ่งไปใหญ่ ขนาดคนญี่ปุ่นด้วยกันเองก็แทบแย่เหมือนกัน
อันดับที่ 4 Polish
อันดับที่ 4 Polish
ภาษาโปแลนด์ คือภาษาทางการของประเทศโปแลนด์ มีต้นกำเนิดมาจากพื้นที่ของโปแลนด์ ในปัจจุบันจากภาษาท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะที่พูดใน Greater Poland และ Lesser Poland ภาษาโปแลนด์เคยเป็นภาษากลาง ในพื้นที่ต่างๆ ของยุโรปกลางและยุโรปตะวันออก เนื่องจากอิทธิพลทางการเมือง วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์ และการทหารของเครือจักรภพโปแลนด์-ลิทัวเนีย ในปัจจุบันภาษาโปแลนด์ไม่ได้ใช้กันกว้างขวางเช่นนี้ เนื่องจากอิทธิพลของภาษารัสเซีย อย่างไรก็ดี ยังมีคนพูดหรือเข้าใจภาษาโปแลนด์ในพื้นที่ชายแดนทางตะวันตกของยูเครน เบลารุส และลิทัวเนีย เป็นภาษาที่สองและคนอพยพจากประเทศโปแลนด์ที่อาศัยในพื้นที่ในประเทศต่างๆ เช่น ฝรั่งเศส ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อิสราเอล บราซิล แคนาดา สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา เป็นต้น ส่วนความยากนักคงเป็นที่ตัวอักษรที่ยากต่อความเข้าใจและการนำไปใช้ที่ยุ่ง ยากพอสมควร
อันดับที่ 3 Chinese
อันดับที่ 3 Chinese
แน่ นอนว่าภาษาจีนเป็น อีกภาษาที่ยากที่สุดในโลก หากแต่กระนั้นมันมีความสำคัญต่อโลกเหมือนกันเพราะประชากรประมาณ 1/5 ของโลกพูดภาษาจีนแบบใดแบบหนึ่งเป็นภาษาแม่ ทำให้เป็นภาษาที่มีคนพูดเป็นภาษาแม่มากที่สุด (สำเนียงพูดที่ถือเป็นมาตรฐาน คือ สำเนียงปักกิ่ง ซึ่งอยู่ในกลุ่มภาษาแมนดาริน)และเป็นหนึ่งใน 6 ภาษาที่ใช้ในองค์การสหประชาชาติ (ร่วมกับ ภาษาอังกฤษ ภาษาอาหรับ ภาษาฝรั่งเศส ภาษารัสเซีย และภาษาสเปน) แน่นอนความยากของภาษาจีนนั้นก็คือออกเสียงยาก เขียนยากอีกทั้งมันมีหลายแบบ หลายสำเนียง เช่น จีนกลาง, จีนกวางตุ้ง แถมอักษรยังมีสองแบบคืออักษรจีนตัวเต็ม และ อักษรจีนตัวย่อ
อันดับที่ 2 Hungarian
อันดับที่ 2 Hungarian
ภาษา ฮังการี เป็น ภาษากลุ่มฟินโน-อูกริกที่พูดในประเทศฮังการีและในประเทศเพื่อน บ้านคือ โรมาเนีย สโลวาเกีย ยูเครน เซอร์เบีย มอนเตเนโกร โครเอเชีย ออสเตรีย และสโลวีเนีย (ทั้งหมดเป็นประเทศที่ฮังการีได้สูญเสียดินแดนให้หลังสงครามโลกครั้งที่ 1) มีคนพูดภาษาฮังการีประมาณ 14.5 ล้านคน มี 10 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในฮังการี และมีชนพื้นเมืองฮังการี ประมาณ 1,434,377 คนที่อาศัยอยู่ในโรมาเนีย โดยมีประชากรชนกลุ่มน้อยมากที่สุดในพื้นที่ทรานซิลเวเนียของโรมาเนีย
อันดับที่ 1 Basque
อันดับที่ 1 Basque
ภาษา บาสก์ เป็น ภาษาที่พูดโดยชาวบาสก์ซึ่งอาศัยอยู่แถบเทือกเขาพีเรนีสในตอนกลาง ของภาคเหนือของประเทศสเปน รวมทั้งในบริเวณภาคตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศฝรั่งเศสที่มีอาณาเขตติดต่อกัน หรือลึกลงไปกว่านั้นคือ ชาวบาสก์ได้ครอบครองแคว้นปกครองตนเองที่มีชื่อว่าแคว้นปกครองตนเองบาสก์ (Basque Country autonomous community) ซึ่งมีวัฒนธรรมและอิสระในการปกครองตนเองทางการเมือง นอกจากนี้ก็ยังมีชาวบาสก์ที่อยู่ในเขตนอร์เทิร์นบาสก์ในฝรั่งเศสและแคว้น ปกครองตนเองนาวาร์ในสเปนอีกด้วย ชื่อเรียกภาษาบาสก์อย่างเป็นทางการ (ในภาษาตนเอง) คือ เออุสการา (euskara) ส่วนในรูปภาษาถิ่นอื่น ๆ ได้แก่ เออุสเกรา (euskera) เอสกูอารา (eskuara) และ อุสการา (üskara) แม้ว่าในทางภูมิศาสตร์จะถูกล้อมรอบด้วยภาษาในตระกูลอินโด-ยูโรเปียน แต่ภาษาบาสก์กลับจัดเป็นภาษาโดดเดี่ยว (language isolate) ไม่ใช่ภาษาในตระกูลดังกล่าว
ขนมปัง
ขนมปังนุ่มๆ แบบเปลือกบาง กรอบนอกนุ่มใน วันนี้เราจัดเต็ม
แบบเอาทั้งหมดขั้นตอน และรายละเอียด ต่างๆ ที่เราพยายามเรียบเรียง
มา อัพบล๊อคแบ่งปันเพือนๆคนชอบขนมปังเปลือกกรอบๆกันค่ะ ซึ่งเป็นสูตรขนมปังที่ต่อเนืองจากบล๊อคก่อนหน้านี้ ที่เราได้จากพี่พีช
ความจริงขนมปังลักษณะนี้ น่าจะเป็นขนมปังฝรั่งเศส ซึ่งเป็นขนมปังที่เราชอบมากๆ ซึ่งปกติเราจะซื้อประจำ ก้อนนึง 3$ ก้อนเล็ก ซึ่งเราถือว่าแพงนะ แต่มันอร่อยมาก ๆเปลือกกรอบๆ ข้างในนุ่มเหนียว เคี้ยวมันเคี้ยวเพลิน
ซื้อทีไร เราจะแทะเปลือกกินหมดก่อนทุกที ฮี่ ๆเ
วันนี้เราทำได้แล้ว ถึงจะไม่ 100% เหมือนที่ทำขายเพราะ แต่เราก็ภูมิใจแล้วคร่าาาา เพราะเปลือกที่บางกรอบ เนื่อขนมปังนุ่มๆ เหนียวนิดๆ (นิดเดียว) กินเล่นเปล่าๆ ตอนอบเสร็จใหม่ๆ อร่อยมากๆเลยค่ะ เพลินทีเดียว
ทีมาจากสูตรก็มาจากพี่พีช somejai dean 100 ค่ะ ที่แนะนำให้เราทำสำเร็จขอบคุณพี่พีช somjaidean 100 อีกครั้งนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ
ซึ่งเป็นสูตรขนมปัง เวียนนา ซึ่งคุณบุ๊งได้ทำไว้แล้วขอบคุณ คุณบุ๊งสำหรับสุตรเต็มๆ ด้วยค่ะ ไปดูสูตรต้นฉบับ จาก บ้านคุณบุ๊งไปทางนี้ค่ะ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=close-to-heaven&month=02-2012&date=17&group=19&gblog=5
พอเห็นสุตรบ้านคุณบุ๊ง เลยรู้ว่าตัวเองจดส่วนผสมของแป้งตกไป 1 1/8 ถ้วย เอิ๊กกกกกกกกกก มารุ้ตอนทำเสร็จแล้ว ใหนๆ ก็ใหนๆ แล้ว เลยลองทำต่ออีกครั้ง
สูตร แป้งเชื้อ
แป้งขนมปัง 1 1/4 ถ้วย
ยีสต์แห้ง 1 ชช
เกลือ 1/2 ชช
น้ำอุ่น 1 ถ้วย
วิธีทำ
- ผสมน้ำอุ่นกับยีสต์ พักไว้ 5นาทีจนยีสต์ขึ้น
- ใส่แป้งทั้งหมดลงไป แล้วใส่เกลือ คนให้เข้ากัน (อย่าให้แป้งโดนยีสต์โดยตรง จะทำให้ยีสต์ทำงานได้ไม่ดี หรือตายได้ ตอนนี้ส่วนผสมจะเหลวเหนอะหนะเลยค่ะ
- นำไปพักให้ขึ้นสองเท่า (ประมาณ 1ชม )
- นำชามยีส ปิดฝาให้สนิท ใส่ตู้เย็นทิ้งไว้ข้ามคืน
เราทำตอน 3ทุ่ม จนกระทั่ง 8โมงเช้า กะเอาประมาณ 12ชม
จากนั้น เอาออกจากตู้เย็น พักไว้ในอุณภูมิห้อง เพื่อคลายความเย็น(เราพักประมาณ 1ชม )
ส่วนแป้งโดว์
- แป้งขนมปัง 3 1/4ถ้วย +2 ชต
- น้ำตาลทราย 1 ชต
- เกลือ 1 1/4 ชช
- ไข่เบอร์2 1 ฟอง
- ยีสต์ 1 1/2 ชช
- เนยสดเค็มนิ่มๆ 2 ชต
- น้ำอุ่น 3/4 ถ้วย
ปลุกยีสต์ให้ขึ้นโดยแบ่งน้ำอุ่นมา 1/4มาผสมกับยีสต์ พักไว้ 5นาที , ไข่ตีแบบไข่เจียวรอไว้ , เทยีสต์ที่หมักลงในโถ พร้อมใส่น้ำอุ่น,น้ำตาล,ไข่ และแป้งเชื้อ +แป้งลงไป 3ถ้วย แล้วจึงใส่เกลือ ตามลงไป
- เปิดสปีดต่ำสุด นวดพอส่วนผสมเข้ากัน ใส่เนยสดนิ่ม นวดพอให้แค่พอส่วนผสมเข้ากัน ตอนนี้แป้งจะนิ่มและติดมือ แล้วจึงค่อย ทยอยใส่แป้งที่เหลือ2ชต นวดให้เข้ากัน และใส่เนยอีกทีละ 2ชต จนหมด ขั้นตอนนี้รวมทั้งผสมแป้งไม่เกิน 20 นาทีค่ะ โดยไม่ต้องเน้นให้ขึงเป็นฟิมส์อะไรเลย แค่เนียนหน่อย ก็พอ
ตอนนี้สังเกตจากรูปใน ทั้ง 4 แป้งโดว์ที่ได้ ต้องนิ่มๆ วางบนโต๊ะแล้วเอนตัวลงหน่อยๆ ลองจับดูจะยังคงติดมือนิดๆ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเดียวตอนหมักแป้ง แป้งก็จะดูดความชื้นออกไปอีก
แต่ถ้าแป้งเหลว ติดมือหนุบหนับ เหนาะหนะ ให้เติมแป้งได้อีก 1-2ชต ค่ะ
ขั้นตอนการพักแป้ง
การพักแป้งโดว์
- นำอ่างทาไขมัน หรือ ทาไขมันเสร็จโรยแป้งนวลให้ทั่วๆ
นำแป้งโดว์ ใส่อ่าง กันอากาศเข้า แล้วพักให้ขึ้น 2 เท่า ทีนี่อากาศเริ่มหนาว อุณภูมิในบ้านตอนนี้ 70 F เราใช้เวลาพักแป้ง 1 1/2 ชม
การพักแป้งในครั้งที่ 2 ก็ทำเหมือนกันกับครั้งแรก
รูปแป้งที่พักรอบที่ 2 สังเกตแป้งเนียนขึ้นและไม่ติดมือแล้วค่ะ
แต่สัมผัสได้ว่าแป้งนิ่มเนียน
- การพักแป้งครั้งที่ 3,4 สังเกตแป้งจะเนียนขึ้นกว่าครั้งแรกเยอะเลย
นำโดว์ออกมาไล่ลมออก แบ่งเป็น 2ก่อนเท่าๆกัน วางในอ่าง
แล้วฉีดสเปร์น้ำมัน ให้ทั่วโดว์ ปิดกันลม พักแป้งไว้ 20นาที
การพักแป้งครั้งที่ 3 ,4 ทำเหมือนกัน
- นำออกมาขึ้นรูปครั้งสุดท้ายก่อนอบ ฉีดสเปร์น้ำมันให้ทั่วก้อนโดว์
หรือใช้น้ำมันมะกอก คาโนล่า ทาด้วยแปรงให้ทั่ว แล้วนำไป พักให้ขึ้น2เท่าอีกครั้ง เปิดเตาอบรอไว้ก่อนสัก 15นาที ที่ไฟเปิดไฟ 450 F
- นำน้ำร้อนใส่อ่างหรือถาดทนไฟ วางไว้ชั้นล่างสุดของเตาอบไว้ก่อนสัก 5นาที
- ใช้มีดคมๆ กรีดก้อนโดว์ตามชอบ
- ฉีดสเปร์น้ำให้ทั่วก้อนโดว์
รูปตอนกรีดหน้าขนมปัง เรากรีดได้กากมากกกแถมมีกรีดซ้ำรอยเดิมด้วย เฮ่อออ แต่ขั้นตอนนี้แหละเวลาทำขนมปัง เป็นขั้นตอนหนึ่งที่เรารอคอย และอยากทำมากๆ 55
- นำโดว์เข้าอบ ผ่านไป 1 นาที ให้ฉีดเสปร์ ตรง
ด้านบนของผนังเตาอบ(น้ำจะโดนขดลวดร้อนๆ ทำให้ไอน้ำกระจาย
ไปทั่ว ขนมปัง ทำแบบนี้ ทุก 1นาที สัก 4-5 ครั้ง ใช้เวลาประมาณไม่เกิน5-7 นาทีแรก
- ใช้เวลาอบแบบก้อนเล็กๆ ประมาณ 20 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของขนมปัง
ก้อนใหญ่ เราอบ ประมาณ 25 นาที
แบบเอาทั้งหมดขั้นตอน และรายละเอียด ต่างๆ ที่เราพยายามเรียบเรียง
มา อัพบล๊อคแบ่งปันเพือนๆคนชอบขนมปังเปลือกกรอบๆกันค่ะ ซึ่งเป็นสูตรขนมปังที่ต่อเนืองจากบล๊อคก่อนหน้านี้ ที่เราได้จากพี่พีช
ความจริงขนมปังลักษณะนี้ น่าจะเป็นขนมปังฝรั่งเศส ซึ่งเป็นขนมปังที่เราชอบมากๆ ซึ่งปกติเราจะซื้อประจำ ก้อนนึง 3$ ก้อนเล็ก ซึ่งเราถือว่าแพงนะ แต่มันอร่อยมาก ๆเปลือกกรอบๆ ข้างในนุ่มเหนียว เคี้ยวมันเคี้ยวเพลิน
ซื้อทีไร เราจะแทะเปลือกกินหมดก่อนทุกที ฮี่ ๆเ
วันนี้เราทำได้แล้ว ถึงจะไม่ 100% เหมือนที่ทำขายเพราะ แต่เราก็ภูมิใจแล้วคร่าาาา เพราะเปลือกที่บางกรอบ เนื่อขนมปังนุ่มๆ เหนียวนิดๆ (นิดเดียว) กินเล่นเปล่าๆ ตอนอบเสร็จใหม่ๆ อร่อยมากๆเลยค่ะ เพลินทีเดียว
ทีมาจากสูตรก็มาจากพี่พีช somejai dean 100 ค่ะ ที่แนะนำให้เราทำสำเร็จขอบคุณพี่พีช somjaidean 100 อีกครั้งนะคะ ขอบคุณจริงๆค่ะ
ซึ่งเป็นสูตรขนมปัง เวียนนา ซึ่งคุณบุ๊งได้ทำไว้แล้วขอบคุณ คุณบุ๊งสำหรับสุตรเต็มๆ ด้วยค่ะ ไปดูสูตรต้นฉบับ จาก บ้านคุณบุ๊งไปทางนี้ค่ะ
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=close-to-heaven&month=02-2012&date=17&group=19&gblog=5
พอเห็นสุตรบ้านคุณบุ๊ง เลยรู้ว่าตัวเองจดส่วนผสมของแป้งตกไป 1 1/8 ถ้วย เอิ๊กกกกกกกกกก มารุ้ตอนทำเสร็จแล้ว ใหนๆ ก็ใหนๆ แล้ว เลยลองทำต่ออีกครั้ง
สูตร แป้งเชื้อ
แป้งขนมปัง 1 1/4 ถ้วย
ยีสต์แห้ง 1 ชช
เกลือ 1/2 ชช
น้ำอุ่น 1 ถ้วย
วิธีทำ
- ผสมน้ำอุ่นกับยีสต์ พักไว้ 5นาทีจนยีสต์ขึ้น
- ใส่แป้งทั้งหมดลงไป แล้วใส่เกลือ คนให้เข้ากัน (อย่าให้แป้งโดนยีสต์โดยตรง จะทำให้ยีสต์ทำงานได้ไม่ดี หรือตายได้ ตอนนี้ส่วนผสมจะเหลวเหนอะหนะเลยค่ะ
- นำไปพักให้ขึ้นสองเท่า (ประมาณ 1ชม )
- นำชามยีส ปิดฝาให้สนิท ใส่ตู้เย็นทิ้งไว้ข้ามคืน
เราทำตอน 3ทุ่ม จนกระทั่ง 8โมงเช้า กะเอาประมาณ 12ชม
จากนั้น เอาออกจากตู้เย็น พักไว้ในอุณภูมิห้อง เพื่อคลายความเย็น(เราพักประมาณ 1ชม )
ส่วนแป้งโดว์
- แป้งขนมปัง 3 1/4ถ้วย +2 ชต
- น้ำตาลทราย 1 ชต
- เกลือ 1 1/4 ชช
- ไข่เบอร์2 1 ฟอง
- ยีสต์ 1 1/2 ชช
- เนยสดเค็มนิ่มๆ 2 ชต
- น้ำอุ่น 3/4 ถ้วย
ปลุกยีสต์ให้ขึ้นโดยแบ่งน้ำอุ่นมา 1/4มาผสมกับยีสต์ พักไว้ 5นาที , ไข่ตีแบบไข่เจียวรอไว้ , เทยีสต์ที่หมักลงในโถ พร้อมใส่น้ำอุ่น,น้ำตาล,ไข่ และแป้งเชื้อ +แป้งลงไป 3ถ้วย แล้วจึงใส่เกลือ ตามลงไป
- เปิดสปีดต่ำสุด นวดพอส่วนผสมเข้ากัน ใส่เนยสดนิ่ม นวดพอให้แค่พอส่วนผสมเข้ากัน ตอนนี้แป้งจะนิ่มและติดมือ แล้วจึงค่อย ทยอยใส่แป้งที่เหลือ2ชต นวดให้เข้ากัน และใส่เนยอีกทีละ 2ชต จนหมด ขั้นตอนนี้รวมทั้งผสมแป้งไม่เกิน 20 นาทีค่ะ โดยไม่ต้องเน้นให้ขึงเป็นฟิมส์อะไรเลย แค่เนียนหน่อย ก็พอ
ตอนนี้สังเกตจากรูปใน ทั้ง 4 แป้งโดว์ที่ได้ ต้องนิ่มๆ วางบนโต๊ะแล้วเอนตัวลงหน่อยๆ ลองจับดูจะยังคงติดมือนิดๆ ไม่เป็นไรค่ะ เพราะเดียวตอนหมักแป้ง แป้งก็จะดูดความชื้นออกไปอีก
แต่ถ้าแป้งเหลว ติดมือหนุบหนับ เหนาะหนะ ให้เติมแป้งได้อีก 1-2ชต ค่ะ
ขั้นตอนการพักแป้ง
การพักแป้งโดว์
- นำอ่างทาไขมัน หรือ ทาไขมันเสร็จโรยแป้งนวลให้ทั่วๆ
นำแป้งโดว์ ใส่อ่าง กันอากาศเข้า แล้วพักให้ขึ้น 2 เท่า ทีนี่อากาศเริ่มหนาว อุณภูมิในบ้านตอนนี้ 70 F เราใช้เวลาพักแป้ง 1 1/2 ชม
การพักแป้งในครั้งที่ 2 ก็ทำเหมือนกันกับครั้งแรก
รูปแป้งที่พักรอบที่ 2 สังเกตแป้งเนียนขึ้นและไม่ติดมือแล้วค่ะ
แต่สัมผัสได้ว่าแป้งนิ่มเนียน
- การพักแป้งครั้งที่ 3,4 สังเกตแป้งจะเนียนขึ้นกว่าครั้งแรกเยอะเลย
นำโดว์ออกมาไล่ลมออก แบ่งเป็น 2ก่อนเท่าๆกัน วางในอ่าง
แล้วฉีดสเปร์น้ำมัน ให้ทั่วโดว์ ปิดกันลม พักแป้งไว้ 20นาที
การพักแป้งครั้งที่ 3 ,4 ทำเหมือนกัน
- นำออกมาขึ้นรูปครั้งสุดท้ายก่อนอบ ฉีดสเปร์น้ำมันให้ทั่วก้อนโดว์
หรือใช้น้ำมันมะกอก คาโนล่า ทาด้วยแปรงให้ทั่ว แล้วนำไป พักให้ขึ้น2เท่าอีกครั้ง เปิดเตาอบรอไว้ก่อนสัก 15นาที ที่ไฟเปิดไฟ 450 F
- นำน้ำร้อนใส่อ่างหรือถาดทนไฟ วางไว้ชั้นล่างสุดของเตาอบไว้ก่อนสัก 5นาที
- ใช้มีดคมๆ กรีดก้อนโดว์ตามชอบ
- ฉีดสเปร์น้ำให้ทั่วก้อนโดว์
รูปตอนกรีดหน้าขนมปัง เรากรีดได้กากมากกกแถมมีกรีดซ้ำรอยเดิมด้วย เฮ่อออ แต่ขั้นตอนนี้แหละเวลาทำขนมปัง เป็นขั้นตอนหนึ่งที่เรารอคอย และอยากทำมากๆ 55
- นำโดว์เข้าอบ ผ่านไป 1 นาที ให้ฉีดเสปร์ ตรง
ด้านบนของผนังเตาอบ(น้ำจะโดนขดลวดร้อนๆ ทำให้ไอน้ำกระจาย
ไปทั่ว ขนมปัง ทำแบบนี้ ทุก 1นาที สัก 4-5 ครั้ง ใช้เวลาประมาณไม่เกิน5-7 นาทีแรก
- ใช้เวลาอบแบบก้อนเล็กๆ ประมาณ 20 นาที ขึ้นอยู่กับขนาดของขนมปัง
ก้อนใหญ่ เราอบ ประมาณ 25 นาที
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)